วันเสาร์ที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

It's me

วันเสาร์ที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

10 อันดับการศัลยกรรมให้เหมือนใครบางคน

10 อันดับการศัลยกรรมให้เหมือนใครบางคน

อันดับที่ 10


  ย้อนไปไกลเลย
Nileen Namita คุณแม่ลูกสามวัย 49 ปีจากอังกฤษ ลงทุนจ่ายถึง £200,000 เพื่อเนรมิตรหน้าเธอให้เหมือน ราชีนีเนเฟอติติ ผู้ที่ถูกยกย่องว่าสวยหยาดฟ้า สวยเหมือนนางฟ้า เทวดา บลาๆ แต่ก็นะมีแต่รูปปั้น เจ๊แกก็เลยต้องเอารูปปั้นเป็นแบบ แต่ก็นับว่าทำออกมาได้(เหมือนรูปปั้น)ดีนะ คล้ายๆ(รูปปั้น) เลยย ฮาฮาฮาฮาฮา 




อันดับที่ 9


  คุษป้าอย่างสวย
Annette Edwards คุณป้าวัยกระสั่น(กระสันไม่ได้แล้ว วัยนี้ต้องสั่นงั่้กๆแล้วนะป้า ) วัย 57 ปี ทุ่มเงินสุดตัวกว่า £10,000 ($16,000 USD) เพื่อทำให้หนังหน้าของหล่อนดูเหมือน Jessica Rabbit ตัวการ์ตูนยอดนิยมและสุดเซ็กซี่ในอดีตกาล (เวอร์ไป) ดูๆแล้วถึงป้าแกจะไม่เหมือนซะทีเดียว แต่ก็เหมือน Jessica ตอนแก่นะ ฮาฮาฮา 




อันดับที่ 8


  ไม่รู้จะเหมือนใครเหมือนลูกตัวเองนี้เหละ
ในภาพ Janet และ Jane Cunliffe หลายๆคนมองภาพก็คิดเหมือนกันหมดเชื่อเถอะ "ฝาแฝด" หรือไม่จริง ? แต่ความจริงมีเพียงหนึ่ง สองหน่อนี้ไม่ไช่ฝาแฝด!!!! แต่เป็น แม่กับลูก อะๆงงๆ กันไปเลยทีเดียว เจเน็ต(เขียว) ผู้เป็นแม่ตัดสินใจจ่ายเงินกว่า $13,000 เพื่อจะทำให้หนังหน้าของเธอดูเด็กและเหมือนลูกสาวเธอ งานนี้แฟนลูกสาว จะเข้าห้องผิดบ้างหรือเปล่านะ ^^" 




อันดับที่ 7


  เอาให้เหมือนไปเลยเอ้า
Jo และ Kerry Burton ฝาแฝดที่หน้าตาเหมือนกันยังกะแกะ แต่เหมือนแกะที่มีตำหนิ (รู้ว่าตัวไหนเป็นตัวไหน) ก็เลยจัดซะให้เหมือนๆกันไปเลย ค่าเสียหายก็ราวๆ £60,000 เท่านั้นเอง 




อันดับที่ 6


  ขอให้หนังหน้าเหมือนเจ๊แองซักนิด
Nadya Suleman คุณแม่แฝด 8 อันโด่งดัง รายนี้คลั่งไคล้แองจี้ขนาดหนัก ถึงขนาดโดดไปทำให้หน้าหล่อนคล้ายแองจี้เลยทีเดียว (คล้ายมากนะ) ล่าสุดคุณแม่ลูกตรึมรายนี้ มีบริษัทผลิตหนัง(โป๊ะ)รายใหญ่ชักชวนไปเล่นหนัง(โป๊ะ) เพราะขนาดนี้่นาเดียกับลังรับศึกหนักกับลูกๆอันมหาศาลของหล่อน 




อันดับที่ 5


  เปลี่ยนหน้าให้เหมือนเมียเก่า ?
ลุง Zhao Gang อายุ 32 ขวบ จาก เมืองChongqing ประเทศจีน เสียเมียของแกไปในอุบัติเหตุแต่เฮียแกยังอาลัยอาวรเมียเก่าอยู่ ต่อมาเฮียแกพบรักใหม่ สาวเจ้าก็หน้าตาละม้ายคล้ายคลึงกับเมียเก่าแก ก่อนจะแต่งเฮียแกก็ขอร้องให้ไปศัลยกรรมเอาให้เหมือนเมียแกเลย (แล้วผู้หญิงเค้าจะยอมไหมเฮีย) ฝ่ายหญิงก็ตกลง (เอ้า พูดยังไม่ทันขาดคำ (ไม่ได้ดิต้องขาดประโยค) ) ปล.ให้คนอื่นมาเป็นตัวแทนเมียเก่ายังงี้ใช้ไม่ได้นะฮะเฮีย Zhao 




อันดับที่ 4


  อยากเหมือนไมเคิล แจ็คสัน
คุณแม่ลูกสามชาวอังกฤษ Miki Jay ถึงหล่อนจะไม่ได้เป็นชายอกสามศอก ขี่ม้าไปบอก (อันหลังไม่เกี่ยวนะ) แต่เจ๊แกก็เป็นปลื้มเฮีย (เขียนผิดละยุ่งเลย) ไมเคิล แจ็คสันเป็นบ้าเป็นหลัง ยอมเสียตัง £8000 เพื่อไปเนรมิตรหนังหน้า ให้ขาวซีดแบบไมเคิล (ผมว่าเจ๊เอาตังไปส่งลูกๆเรียนสูงๆดีกว่าไหมฮะ) 




อันดับที่ 3


  แปลงโฉมสู่บาร์บี้
เจ๊Sarah Burge วัยเก๋าอายุอานามก็ 49 ปีดีดัก หล่อนใช้เงินฟาดหัวหมอไป £539,500 (หมอสลบไหมเนี่ย) เพื่อเนรมิตสังขารของหล่อนให้เป็น "บาร์บี้" โอ้โห เจ๊แกอยากเหมือนตุ๊กตาหรือเนี่ย ก็นะความสุขส่วนตัว ไม่รู้ว่าเจ๊แกใช้เงินเก็บทั้งชีวิต หรือ เงินมันเหลือๆ ยังไงก็ใช้ไม่หมดหรือเปล่า เอาซะยังไงเจ๊แกก็ติด world record ละนะ 




อันดับที่ 2


  จะเป็นเดมี่ มัวส์
เจ๊ลิซ่า คอลเนล อายุ29 ปี ใช้เงินที่แม่ของเธอเก็บไว้ให้ลิซ่าแต่งงาน เอาไปศัลยกรรม(แล้วหล่อนจะได้แต่งงานไหมงานนี้) เอาไปแปลงโฉมให้หล่อนหน้าตาใกล้เจ๊ เดมี่ สงสัยคงจะชอบเป็นการส่วนตัวกระมัง อ่อแล้วค่าใช้จ่ายก็ไม่ไช่หมูๆหมาๆ £40,000 เหนะ (2ล้านกว่าบาทได้) โอ้โหเจ๊ลิซ่าฮะ ผมว่าเจ๊เอาตังไปจัดงานแต่งอู้ฟู้ดีกว่านะฮะ งานนี่ทีมงานToptenthailand เลยจัดมาให้อยู่อันดับ2 ซะ 




อันดับที่ 1


  อยากเหมือนปีศาจ
Gavin Paslow อายุ39ปี เป็นซีเคียวลิตี้การ์ด(ยามนั้นเหละ) หมอนี้ยอมจ่ายเงินถุงเงินถังถึง £3,552 (หรือกว่า 170,000 บาท (ยามเมืองนอกรวยฟะ) ) เพื่อให้หมอศัลยกรรมเปลี่ยนเค้าให้เหมือน "ปีศาจ" เฮ้อ เอาเงินไปทำไปอย่างอื่นดีกว่าไหมเพ่่ๆๆๆ 


อ้างอิง : http://www.toptenthailand.com/

วันพฤหัสบดีที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

10 อันดับ สิ่งเหลือเชื่อว่าเป็นส่วนประกอบของยาสีฟัน

10 อันดับ สิ่งเหลือเชื่อว่าเป็นส่วนประกอบของยาสีฟัน

อันดับที่ 10


  Formaldehyde
ฟอร์มาลดีไฮด์ หรือฟอร์มาลีน สารไร้สีกลิ่นแรงใช้ทำยาฆ่าเชื้อและยากันเน่า ที่เรามักรู้จักสารนี้ในการใช้สำหรับดองศพเพื่อไม่ให้ศพเน่าเปื่อย ใช้ฆ่าเชื้อโรค ฆ่าเชื้อรา และทำความสะอาดห้องคนป่วย โดยฟอร์มาลีนเป็นส่วนประกอบของยาสีฟัน(นอกจากนี้ยังมี ยาบ้วนปาก สบู่ ครีมโกนหนวด) เนื่องจากมันมีคุณสมบัติฆ่าเชื้อโรคแบคทีเรียเล็กๆ ในช่องปาก แต่ความเข้มข้นที่ต่ำมาก แต่กระนั้นอันตรายจากฟอร์มาลีนจากยาสีฟันก็ยังคงมีอยู่คือหากกินมากเกินไป อาจทำให้ตับและไตพังและอาจถึงตายได้ โอ้น่าสนุก ลองดูไหม? 




อันดับที่ 9


  Detergent
สารทำให้เกิดฟอง หรือผงซักฟอก เป็นผงที่มีลักษณะเป็นผง เม็ดเล็กๆหรือเกล็ด อัดขึ้นรูป กึ่งแข็งกึ่งเหลว แท่ง หรือลักษณะอื่น ผงซักฟอก เป็นสารซักล้างที่ผลิตขึ้นมาใช้แทนสบู่ ในมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นสารลดแรงตึงเพื่อให้เกิดฟองช่วยทำความสะอาดได้ อย่างมีประสิทธิภาพ หากแต่สารบางชนิดอาจมีผลทำให้เยื่อบุปากเกิดอาการแพ้และหากคุณกลืนสารนี้มาก เกินไปอาจมีผลต่อกระเพาะอาหาร ปัจจุบันยาสีฟันส่วนมากไม่ทำให้เกิดฟองมากเหมือนเมื่อก่อน เนื่องจากมีการใช้สารลดความตึงผิวที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัยขึ้น 




อันดับที่ 8


  Seaweed
สารคาราจีแนนที่อยู่ในยาสีฟันนั้นมาจากสาหร่ายทะเล สารนี้ทำให้ส่วนผสมนี้เกาะตัวกันข้นเหนียว ทำให้เกิดความลื่นไหลและยืดขยายเป็นเจลเข้าปาก ปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์หลายชนิดนำสาหร่ายมาใส่ในยาสีฟันเพื่อคุณสมบัติต่างๆ เช่นสาหร่ายไดอะตอมซึ่งเป็นส่วนผสมของยาสีฟันช่วยขัดฟันให้ขาว สาหร่ายสไปรูลิน่าช่วยให้ฟันแข็งแรง 




อันดับที่ 7


  Peppermint Oil
น้ำมันสะระแหน่ได้มาจากการสกัดน้ำมันจากสาระแหน่โดยวิธีกลั่นด้วยไอน้ำ โดยน้ำมันที่ได้จากการสกัดนี้ใช้อย่างกว้างขวางในอาหาร ยา เครื่องสำอาง ซึ่งยาสีฟันนั้นก็มีการเติมน้ำมันสกัดนี้เพื่อทำให้ มีรสหวานทำให้ยาสีฟันมีรสชาติดีขึ้น นอกจากนี้ยังทำให้เกิดกลิ่นหอมเย็น เมื่อสูดดมทำให้โล่งจมูกรู้สึกสดชื่น อีกครั้งยังช่วยฆ่าเชื้อโรค ส่วนอันตรายจากน้ำมันสาระแหน่ก็คือทำให้ระคายเคืองผิวหนัง และชีพจรปั่นป่วนหากรับประทาน ดังนั้นหลายยี่ห้อมักใส่ในปริมาณความเข้มข้นต่ำ 




อันดับที่ 6


  Paraffin
พาราฟิน หรือ เคโรซีน เป็นผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมซึ่งกลั่นแยกออกจากน้ำมันดิบ จุดหลอมเหลวประมาณ 47-64 องศาเซลเซียส จุดเดือดประมาณ 150-275 องศาเซลเซียส ไม่ละลายในน้ำ สามารถใช้ประโยชน์ได้มากมาย และ มีหลายสถานะด้วยกัน เช่น แก๊ส ของเหลว ของแข็ง โดยประโยชน์ของมันมีหลายอย่าง เช่น แบบก๊าซใช้ทำเชื้อเพลิง ของเหลวใช้เป็นยารักษาโรค โดยสารนี้เป็นส่วนหนึ่งของส่วนประกอบของยาสีฟันที่มีคุณสมบัติใช้ทำเทียนไข ช่วยในการเคลือบผิว เพิ่มความชุ่มชื้น ช่วยขจัดคราบสกปรก โดยหากกลืนสารนี้ไปอาจเกิดอาการปวดท้องคลื่นไส้อาเจียนและท้องผูกอย่าง รุนแรง 




อันดับที่ 5


  Glycerine Glycol
คุณเคยได้ยินส่วนผสมนี้อยู่ในแปลงสีฟันหรือไม่ และรู้ไหมว่ากลีเซอรีนไกลคอลนั้นคืออะไร มีคุณสมบัติอย่างไร กลีเซอรีนไกลคอลเป็นแอลกอฮอล์ที่มีคาร์บอน 3 ตัว มีลักษณะเป็นสารอินทรีย์ที่เป็นน้ำเหนียวไร้สีและไร้กลิ่น เป็นส่วนประกอบของยาสีฟัน(น้ำยาบ้วนปาก, การดูแลผิว, ผลิตภัณฑ์ครีมโกนหนวด, ดูแลเส้นผม, สบู่, น้ำมันหล่อลื่นของสงวน)เพื่อไม่ให้แห้งมากเกินไปและช่วยให้เกิดการหล่อลื่น แม้ว่าสารนี้เป็นเพียงสารแต่งเติมที่ไม่มีอันตรายในยาสีฟัน แต่มันทำให้เกิดอาการคลื่นไส้เมื่อเรากลืนยาสีฟันเข้าไป 




อันดับที่ 4


  Chalk
ส่วนที่เป็นสีขาวของยาสีฟันมีส่วนผสมหลักทำจากผงชอล์กบดละเอียด(แคลเซียม คาร์บอเนต) ที่ทำมาจาก exoskeletons ซึ่งผงชอล์กนั้นเป็นส่วนประกอบของยาสีฟันมาช้านานแล้วในรูปแบบผง(นอกจากนี้ ยังมีผงอิฐ ผงถ่าน เกลือ) เนื่องจากผงชอล์กมีส่วนประกอบจากแคลเซียมและหินปูน การสูดดมในระยะยาวจะทำให้มีผลกระทบต่อระบบทางเดินหายใจ เกิดการระคายเคือง หลอดลมอักเสบ 




อันดับที่ 3


  Titanium Dioxide
ส่วนสีขาวของยาสีฟันนั้นทำมาจากไททาเนียมไดออกไซด์(สารกันแดด) ซึ่งสารนี้เป็นสารเก่าแก่ชนิดหนึ่งเท่าๆกับโลกของเรา และเป็นหนึ่งใน 50ชนิดของสารที่ผลิตมากที่สุดทั่วโลก ลักษณะโดยทั่วไปมีสีขาว นอกเหนือจากใช้เป็นส่วนประกอบของยาสีฟันแล้ว มันยังใช้งานได้หลากหลายเนื่องจากมันไม่มีกลิ่นและมีความสามารถในการดูดซับ ทำให้มีหลายผลิตภัณฑ์ใช้สารนี้เป็นส่วนผสม เช่น สีทาบ้านไปถึงอาหารและเครื่องสำอาง และสารนี้ถูกจัดอยู่ในกลุ่มของสารสีที่ปลอดภัย ไม่ก่อมะเร็ง ไม่ก่อให้เกิดกลายพันธุ์ ไม่เป็นอันตรายต่อหญิงมีครรภ์ ไม่มีพิษ หากแต่เราก็ไม่ไว้ใจกับสารนี้อยู่ดี 




อันดับที่ 2


  Saccharin ซัคคาริน
สารให้ความหวาน หรือขัณฑสกร นั่นแหละครับ ที่บ้านเราออกมาห้ามโน้นห้ามนี้ว่าอย่าใส่ในขนมหรืออาหาร แต่มันดันเป็นส่วนประกอบของยาสีฟันเพื่อให้เกิดความหวาน เป็สารเคมีให้ความหวานที่ถูกสังเคราะห์ขึ้นโดยบังเอิญ ครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ.1879 ปัจจุบันสถานะของขัณฑสกรถือว่าปลอดภัย แต่ผู้บริโภคหลายกลุ่มยังไม่มั่นใจนัก เพราะอดีตขัณฑสกรถูกงดใช้ไปหลายครั้ง(อเมริกาพยายามห้ามใช้สารนี้เมื่อปี 1972) นอกจากนี้ขัณฑสกรยังมีรสชาติขมในคอหลังจากกลืนแล้ว โดยเฉพาะเมื่อใช้ในปริมาณที่สูง 




อันดับที่ 1


  Menthol
เวลาเราแปรงฟันแล้วรู้สึกเย็นในช่องปากก็เนื่องจากยาสีฟันมีเมนทอล(การบูร)มีส่วนผสมอยู่ เป็นมีลักษณะเป็นผลึกใส ไม่มีสี รูปเข็ม ได้จากการสกัดน้ำมันหอมระเหยของต้นไม้บางชนิดเช่น Mentha piperita และ Mentha arvensis หรืออาจได้จากการสังเคราะห์ นิยมใช้เป็นสารแต่งกลิ่นรสในยารับประทาน ยาอม ใช้บรรเทาอาการคัดจมูกหรือหายใจไม่สะดวกในยาสูดดมต่างๆ ในตำรับยาขี้ผึ้ง ครีม หรือเจลใช้ดับกลิ่น หรือทำให้รู้สึกเย็นสบาย หากกลืนหรือกินเข้าไปปริมาณเล็กน้อยไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย แต่ถ้ากลืนหรือกินเข้าไปจำนวนมากอาจเป็นอันตรายได้ 



อ้างอิง : http://www.toptenthailand.com/

วันอังคารที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

10 ตำนานแพทย์ทางเลือกทั่วโลก

10 ตำนานแพทย์ทางเลือกทั่วโลก

อันดับที่ 10


  รักษาโรคไต..ไส้ติ่งอักเสบ...และมะเร็ง..
นี่เป็นอีกวิธีบำบัดในกรุงไคโร ประเทศอียิปต์ เมื่อผู้บำบัด นำผึ้งให้ไปต่อยผู้ที่มารักษาจากโรคเกี่ยวกับหูเจ้าของสำนักผู้นี้เชื่อว่า การต่อยของผึ้ง ตามส่วนต่างๆของร่างกาย มีคุณสมบัติพิเศษ ที่ช่วยในการเยียวยาอาการต่างๆได้ ซึ่งได้แก่ การบำบัด โรคเกี่ยวกับไต ไส้ติ่งอักเสบ หรือแม้กระทั่งมะเร็ง (กค. 2007) 




อันดับที่ 9


  กบเป็น ๆ...แก้ปวดท้องและไอ
ชายจีนวัย 66 ผู้นี้อาศัยอยู่ในหมู่บ้านของเมืองชางราว(Shangrao) ในมณฑลเจียงซี ( Jiangxi) ทางตะวันออกของจีนเขากินกบเป็นๆ ทั้งนี้ มีที่มาจากว่า เมื่อ 20 เศษ เขามีมาอาการปวดบริเณช่องท้อง และไออยู่เป็นประจำ กระทั่ง ได้รับคำแนะนำจากผู้เฒ่าของหมู่บ้าน ให้กินกบเป็นๆเพื่อบำบัด (พค. 2007) 




อันดับที่ 8


  หมักโคลน
โคลนสีดำ ที่โปะทั่วตัวของผู้บำบัด ในรีสอร์ทการท่องเที่ยว ที่เมือง ซูหนิง (Suning) ในมณฑล เสฉวน (Sichuan ) ทางตะวันตกฉียงใต้ของจีน เชื่อกันว่าดินโคลนซึ่งมีแร่ธาตุปนอยู่มากนี้ จะช่วยทำให้ผิวดีได้ (พค. 2007) 




อันดับที่ 7

  งู...คลายเครียด..
หญิงตะวันตกผู้นี้ รับการบำบัด โดยใช้งูเลื้อยไปมาบนร่างกาย 




อันดับที่ 6


  ผลวอลนัท...กับการรักษาโรค
หญิงจีนผู้นี้ รับการบำบัดตามตำนานแพทย์แผนโบราณ โดยใช้ลูกวอลนัทแปะอยู่บนตา พร้อมทั้ง moxa ที่ลุกติดไฟที่ตา และในรูหู (มิย. 2006) 




อันดับที่ 5


  แมงป่อง...บำบัด..
หญิงสาวผู้นี้ รับการบำบัดตามตำนานแบบจีนโดยใช้แมงป่องที่ตายไปวางบนใบหน้า การบำบัดเช่นนี้ มีในเมือง จีนัน (Jinan) เมืองหลวงของมณฑชางดง (Shandong) ทางตะวันออกของจีน (มิย. 2006) 




อันดับที่ 4


  เต่า...บำบัด
ชายคนนี้จับเต่าเทอราพิน (terrapin) เพื่อใช้ในการบำบัด โดยเชื่อกันว่า การสัมผัสของเต่า สามารถรักษาอาการโรคปวดข้อ (rheumatism) หรืออาการปวดเมื่อย ร่างกายอื่นๆได้การรักษาดังกล่าว มีขึ้นในเมืองที่ห่างจากกรุงพนมเปญไปประมาณ 20 กิโลเมตร ความเชื่อ ในเรื่องพลังบำบัดเหนือธรรมชาติของสัตว์ต่างๆ เช่น เต่า วัว และ งูมีอยู่อย่างแพร่หลายในกัมพูชา (24 พค. 2006) 




อันดับที่ 3

  มัจฉาบำบัด
ในรีสอร์ทน้ำพุร้อนของฮาโคเนะ เมืองการท่องเที่ยวสำคัญของญี่ปุ่น มีการรักษาโดยใช้(คุณหมอ)ปลาที่แหวกว่ายไปมารอบๆขาของผู้ที่มารับการบำบัด รีสอร์ทเปิดคลีนิกรักษา โดยมี (คุณหมอ) ปลากว่าพันตัว ปลาเหล่านี้ เรียกว่า Garra rufa มีอยู่ทางตะวันตกของทวีปอาเซีย ปลาจะกินเซลล์ผิวหนังส่วนที่ตายไปแล้วเป็นอาหาร ซึ่งมีผลช่วยรักษาโรคผิวหนังของผู้มาบำบัด (เมย. 2006) 




อันดับที่ 2

  การใช้พิษของผึ้ง
ชายจีนผู้นี้ รับการบำบัด โดยใช้พิษจากการต่อยของผึ้ง เพื่อรักษาอาการ โรคข้ออักเสบ (arthritis) โรคเยื่อจมูกอักเสบ (rhinitis) ที่คลีนิคในเมืองซีอาน (Xi’an) ของมณฑชานซี (Shaanxi ) ทางตะวันตกของจีน หมอทำการรักษา โดยให้ผึ้งต่อยผู้ที่มาบำบัด เพื่อถ่ายพิษของผึ้งเข้าสู่ร่างกาย เพื่อรักษาอาการข้ออักเสบ เยื่อจมูกอักเสบ ดังกล่าว (เมย. 2006) 




อันดับที่ 1

  การบำบัดโดยใช้โคลน
ในมณฑลเหลียวหนิง (Liaoning province ) ทางตะวันออกของจีน ทั้งนี้มีความเชื่อกันว่า โคลนซึ่งมีแร่ธาตุปนอยู่ สามารถลดทอน และ บรรเทาอาการปวดจาก โรคไขข้ออักเสบ การบาดเจ็บสมองจากการกระแทก เป็นต้น (ภาพนี้ถ่ายเมื่อ สค. 2006)


อ้างอิง : http://www.toptenthailand.com/

วันจันทร์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2554

10 อันดับ วิธีดูแลสมอง

10 อันดับ วิธีดูแลสมอง
 อันดับที่ 10


  เสริมวิตามิน กินไขมันดี
กินไขมันดี หรือที่เราเรียก โอเมก้า 3 เพื่อเข้าไปทดแทนส่วนของสมองที่เป็นในไขมันที่สึกหรอไป นอกจากนี้ยังมีวิตามินบำรุงสมองอื่น ๆ อีก เช่น สารสกัดจากใบแปะก๊วย วิตามินบี1 บี6 บี12 น้ำมันพริมโรสที่ช่วยให้เซลล์ชุ่มน้ำและวิตามินซีที่ทำให้กระปรี้กระเปร่า 




อันดับที่ 9


  นั่งสมาธิ จิตมีพลัง
การ นั่งสมาธิ จะส่งผลให้สมองเข้าสู่ช่วงที่เป็นคลื่น Theta (ธีค้า หรือการที่สมองได้เข้าสู่การเข้าสมาธิแบบลึก) ทำให้สมองได้ผ่อนคลายสุด ๆ และเกิด Mental Imagery (ภาพจินตนาการที่สมองสร้างขึ้น) ส่งผลให้สมองเกิดความคิดสร้างสรรค์ และจินตนาการที่ดีออกมา ทำให้สามารถแก้ปัญหาในเรื่องต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นได้อย่างสร้างสรรค์ 




อันดับที่ 8


  เข้านอนก่อนหัวค่ำ
ภายในร่างกายคนเรามีนาฬิกาชีวภาพอยู่ ดังนั้นหากเราเข้านอนในช่วงเวลาที่ร่างกายหลั่งสารเมลาโทนิน ก็จะทำให้ร่ายกายและสมองได้รับการพักผ่อนอย่างเต็มที่ 




อันดับที่ 7


  หายใจช่วยพัฒนาสมอง
การ หายใจอย่างถูกวิธี มีส่วนช่วยพัฒนาสมองให้ได้ผลดีมากทีเดียว เพราะสมองของเรานั้นใช้ออกซิเจนมากถึง 20-25% ของทั้งหมดที่เข้าสู่ร่างกาย ดังนั้นหากเรารู้จักหายใจ เข้า-ออก ช้า ๆ ลึก ๆ เพียงแค่วันละ 15 นาที ก็จะทำให้สมองได้รับพลังงานอย่างเต็มเปี่ยม 




อันดับที่ 6


  ยิ้มไว้โลกจะแตกก็ยิ้มไว้
เวลาที่เราทำอะไรก็ตาม หากเรายิ้มคนรอบข้างก็จะได้รับทราบถึงความรู้สึกดีๆ ของเรา แต่ควรจะยิ้มจากภายใน ไม่ต้องฝืน เพราะแววตาของรอยยิ้มนั้นหลอกกันไม่ได้ หากคุณรู้จักที่จะยิ้ม ก็จะทำให้สมองมีแต่เรื่องดี ๆ มีความสุข การยิ้มอย่างเป็นประจำและต่อเนื่องมีโอกาสที่ร่างกายจะหลั่งเอ็นโดรฟินออกมา ซึ่งสารนี้จะไปออกฤทธิ์ให้ม่านตาขยายและทำให้ตาเป็นประกาย 




อันดับที่ 5



  เขียนหนังสือด้วยมือที่ไม่ถนัด
การ เขียนถือเป็นการพัฒนาสมองได้เหมือนกัน เพราะสมองซีกซ้ายของเรานั้นเป็นส่วนบังคับการเขียน หากใครที่ถนัดมือไหนอยู่ ก็ให้หัดลองใช้มืออีกข้างเขียนหนังสือ หรือวาดภาพ เพื่อให้สมองได้เรียนรู้อะไรใหม่ ๆ เพิ่มเติม และยังมีส่วนช่วยให้ความคิดสร้างสรรค์เพิ่มขึ้นด้วย 




อันดับที่ 4


  เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ
การพัฒนาสมองให้ได้ผลดีอีกอย่างหนึ่งก็คือ พยายามเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา จะได้พัฒนาสมอง เช่น เทคโนโลยีใหม่ ๆ เรื่องราวการแพทย์ใหม่ ๆ หรือแม้กระทั่งเมนูอาหารอร่อย ๆ ที่คุณไม่เคยลอง ก็ถือว่าเป็นการทำให้สมองได้พัฒนาเช่นกัน การเล่นเกมส์ปริศนาอักษรไขว้ หรือสแครบเบิล ก็สามารถที่จะทำให้ความจำดีขึ้นได้ถึง 40% (จากผลการทดลองของอาสาสมัครในรายการบีบีซี ที่ออกอากาศเมื่อวันที่ 1 กันยายน 2549) 




อันดับที่ 3


  พักผ่อนหันหาอากาศบริสุทธิ์

การพักผ่อนหย่อนใจหลังจากทำงานหนัก ถือเป็นเรื่องสำคัญมาก ๆ เพราะสมองจะได้พักผ่อนจากเรื่องสำคัญมาก ๆ และเรื่องราวความเครียดต่าง ๆ ที่ต้องเจออยู่เป็นประจำ ในหนึ่งปี อาจจะมี 2-3 วัน ที่คุณควรเลือก ที่จะเดินทางไปต่างจังหวัด เพื่อหาที่พักตากอากาศแบบสบาย ๆ เงียบสงบ ให้สมองได้พักผ่อน รวมทั้งหาอากาศที่ปราศจากมลพิษ เพื่อเติมพลังให้สมอง 




อันดับที่ 2


  คิดเพื่อสมองดี
ลอง สังเกตว่าวันไหนที่เราตื่นขึ้นตอนเช้า แล้วรู้สึกว่าอารมณ์ดี วันนั้นเราจะรู้สึกดีไปตลอดวัน แต่ถ้าวันไหนเรารู้สึกเบื่อ ๆ หรือเจอเรื่องแย่ ๆ แต่เช้า ความรู้สึกนี้ก็จะคิดตัวไปตลอดทั้งวัน ทำอะไรก็จะติดขัดไปหมด ดังนั้นหากอยากให้มีแต่เรื่องดี ๆ เกิดขึ้น และทำให้สมองรู้สึกปลอดโปร่งคิดอะไรออก ก็ต้องคิดถึงแต่เรื่องดี ๆ ส่วนเรื่องร้าย ๆ ก็ลืมมันซะ 




อันดับที่ 1


  กินเพื่อสมองดี
หลายคนคงจะเคยได้ยินคำว่า "กินอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น" ทั้ง ๆ ที่รู้ แค่คนส่วนใหญ่ก็มักจะละเลยอาหารเช้า เพราะความเร่งรีบที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน การกินอาหารเข้านั้นจะทำให้ร่างกายเผาผลาญพลังงานมากขึ้น อีกทั้งยังช่วยในเรื่องภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ เนื่องจากอดอาหารมาตลอดคืน หากใครที่กินอาหารเช้าเป็นประจำก็จะทำให้ความจำดีขึ้น อย่างไรก็ตามควรเลือกกินอาหารที่ดี และงดอาหารขยะอย่างเด็ดขาด 


อ้างอิง : http://www.toptenthailand.com/

วันอาทิตย์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2554

10 อันดับอาการทางจิตแปลกๆ

10 อันดับอาการทางจิตแปลกๆ
อันดับที่ 10


  Synaesthesia
ซินเนสทีเซีย หรือ synaesthesia มาจากภาษากรีก คือ Syn (ร่วม) และ Aisthesis (การรับรู้) หมายความว่า ประสาทสัมผัสตั้งแต่ 2 อย่างขึ้นไป รับรู้ พร้อมกันนั่นเอง และมันแปลกตรงไหนล่ะ? ก็ตอบว่าแปลกๆ มาก เพราะว่าบุคคลที่มีอาการแบบนี้ จะมีอาการแตกต่างจากคนทั่วไปคือ เช่น บางคนมองตัวเลข (หรือตัวหนังสือ) จะเห็นเป็นสี เช่นเห็นเอเป็นสีชมพู และจะเห็นเอสีชมพูนี้ไปตลอดชั่วชีวิต(แต่สีของตัวเลขขึ้นอยู่กับคนละคน บางคนอาจเห็นเอเป็นสีฟ้าก็ได้) บางคนฟังเสียงดนตรี จะรู้สึกเหมือนมีอะไรมา สัมผัส ผิวหนัง ส่วนอีกคน ลิ้นชิมรส กลับเห็นรูปร่างตามมาด้วย และอีกคนสัมผัสรสชาติได้จากตัวอักษร ตัวหนังสือ(เช่นเอมีรสเค็ม) แต่อาการที่พบปล่อยที่สุดคือการเห็นตัวเลขเป็นสีมากมาก โดยสาเหตุคาดว่าจะเกิดจากพันธุกรรม ที่โครงสร้างสมองผิดปกติเชื่อมต่อของเซลล์ประสาทในสมองที่มีมาก เกินพอดี ส่งผลให้การรับรู้ ของประสาทสัมผัสต่าง ๆ ปะปนกัน เช่น การได้ยินเสียงกับการมองเห็น ฟังเพลงแล้วบอกว่าเห็นสี เป็นต้น 




อันดับที่ 9


  Oniomania
โรคบ้าชอปปิ้ง เป็นอาการทางจิต ที่ชอปแบบไม่บันยะบันยัง ซื้อของที่ตนไม่ต้องการ บางครั้งเหมือนขาดสติ มักจะไม่รู้ตัวและปฏิเสธ และแสดงอาการเหมือนคนเสพยาถ้าไม่ได้ไปห้างจะมีอาการทุรนทุราย เครียด ซึ่งส่วนสาเหตุของโรคนี้ก็คือเป็นกลไกธรรมชาติของมนุษย์ที่ป้องกันโรคซึม เศร้า ซึ่งมนุษย์มีกลไกตอบสนองของการซึมเศร้า โดยการโหยหาของใหม่ ๆ และแตกต่างจากเดิม โดยตอบสนองจากการได้เห็นของใหม่ ๆ ในห้าง หรือเมื่อเวลามีโฆษณาของใหม่ ๆ ทางทีวี และเพื่อมาบรรเทาอาการซึมเศร้านั้น ๆ เลยซื้อแหลกแต่เมื่อเอาของกลับมาบ้าน ก็จะมีความรู้สึกผิด เมื่อได้ซื้อมาแล้วเกิดเสียดาย กระตุ้นความซึมเศร้า และวนไปวนมาเป็นวัฐจักร ส่วนวิธีการป้องกันโรคที่จะตามมาอีกคือ พยายามออกให้ไกลจากแหล่งชอปปิ้ง ไม่ควรพกเงิน ไม่พกบัตรเครดิต พยายามเลี่ยงดูการโฆษณาที่ยั่วยวน หรือโฆษณาที่ และหาอะไรอย่างอื่นทำ เช่น ออกกำลังกาย เที่ยวป่า 




อันดับที่ 8


  Trichotillomania
การถอนผมตัวเอง เป็นภาวะผิดปกติทางจิต และเป็นนิสัยหรือพฤติกรรมที่ย้ำคิดย้ำทำ โดยการถอนผมหนังศีรษะหรือขนตามตัว(ขนตา, ขนจมูก, ขนหน้าอก, ขนเพชร, คิ้ว) เล่นโดยที่ไม่รู้ตัว ส่วนมากมักถอนขนในขณะทำกิจกรรมบางอย่างที่เพลินๆ เช่น ขณะนั่งอ่านหนังสือ หรือโทรทัศน์ ถอนจนผมร่วงจนเกือบหมดหัว หรือหายเป็นหย่อมๆ จนมีลักษณะผมที่แหว่งไป โดยพบได้ในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย อายุที่พบโดยเฉลี่ยประมาณ 9-13 ปี โดยสาเหตุเกิดจากสภาวะซึมเศร้าหรือความเครียดสะสม แล้วเมื่อได้ถอนผมหรือขนแล้วจะหายเครียด จนเกิดเป็นความเคยชิน โดยโรคนี้ถือว่าเป็นปัญหาทางจิต ถ้าต้องการให้หายขาด ต้องปรึกษาจิตแพทย์โดยด่วน 




อันดับที่ 7


  Piblokto
เป็นปรากฏการณ์ที่พบในชาวเอสกิโมชาวที่อยู่ในแถบขั้วโลกที่มีอาการหนาวเท่า นั้น โดยมักพบในหญิงชาวเอสกิโม มีอาการซึมเศร้า ตัวสั่น วิตกกังวล ร้องไห้ แผดร้องเหมือนสัตว์ป่า แล้วออกวิ่งไปในหิมะโดยไม่รู้สึกว่าหนาว แล้ว กระโดดลงน้ำที่เย็นตัด และมักทำร้ายตัวเอง หรือทำร้ายผู้อื่น สับสน จำอะไรไม่ได้ สาเหตุที่มาอาจมาจากวิตามินเอเป็นพิษ โดนอาหารพื้นเมืองของเอสกิโมนั้นมีแหล่งอุดมของวิตามินที่ทำให้เกิดพิษ เนื่องจากส่วนมากมักเป็นเนื้อมากกว่าผัก เช่นเนื้อแมวน้ำ, ตับปลาขั้วโลก เลี้ยงลูกด้วยนมที่วิตามินสะสมเก็บเอาไว้ในร่างกายจนกลายเป็นพิษ 




อันดับที่ 6


  Hybristophilia
เป็นอาการทางจิตที่เกี่ยวข้องกับการกระตุ้นทางเพศของอีกฝ่ายหลังรักฆาตกรหรือ อาชญากรโรคจิตครับ รักคลั่งอยากจะแต่งงานกันเลย โดยปรากฏการณ์นี้เรียกอย่างหนึ่งว่า Bonnie Clyde Syndrome ชื่อนี้มาจากบอนนี ปาร์คเกอร์ & ไคลด์ แบร์โรว์ ซึ่งบอนนีที่เป็นหญิงสาวธรรมดาหลงรักไคลด์ที่เป็นโจรมากๆ บอมทิ้งครอบครัวเพื่ออยู่กับไครด์เลยทีเดียว ซึ่งสภาวะแบบนี้หายาก แต่ใช่ว่าจะไม่เลยทีเดียว ยกตัวอย่างเช่นมีคนธรรมดาคนหนึ่งเห็นการจับกุมฆาตกรฆ่าเด็กในทีวี คนธรรมดาคนนั้นเกิดอาการมีอารมณ์ทางเพศอยากมีความรักมากๆ เลยเขียนจดหมายส่งในคุกพรรณนาว่าจะแต่งงานกับฆาตกรคนนั้น ก่อนลงท้ายว่า ออกจากคุกเมื่อไหร่แต่งงานกัน ตัวอย่างที่มีที่เห็นก็เช่น กรณี นาง Carol Anne Boone ที่มีความประสงค์ที่จะแต่งงานกับเท็ดบัดดี ฆาตกรต่อเนื่องฆ่าเฉพาะผู้หญิงมากกว่า 35 ราย (1946 –1989) 




อันดับที่ 5


  Depersonalization
บุคลิกวิปลาส หรือ “คนสองบุคลิกภาพ” เป็นอาการทางประสาทประเภทหนึ่ง เป็นภาวะที่เกิดตัวตนและบุคลิกภาพขึ้นในจิตใจของบุคคล ทั้ง ๆ ที่บุคคลนั้นมีตัวตนและบุคลิกภาพของตัวเองอยู่แล้ว โดยสิ่งที่เกิดขึ้นใหม่นั้นเป็นกระบวนการรู้จำซึ่งทำหน้าที่เป็นอิสระและ แปลกแยกจากสิ่งที่มีอยู่แล้ว บุคคลผู้นั้นจึงประหนึ่งนั่งมองการกระทำของตน แต่ไม่สามารถควบคุมการกระทำนั้นได้ รู้สึกว่าไม่ใช่การกระทำของตนแน่นอน แต่เป็นของใครก็ไม่รู้ พูดไม่ออกบอกไม่ถูก และจำไม่ได้ เป็นต้น สาเหตุอาจมาจากหลายๆ อย่างผสมกัน เช่น ความเครียด โรคย้ำคิดย้ำทำ วิตกกังวล ยาเสพย์ติดประเภทประสาทหลอน และ สภาวะนี้สามารถรักษาหาย อาจเป็นชั่วคราว หรือเรื้อรังไปจนตาย 




อันดับที่ 4


  Nymphomania
นิมโฟมาเนียหรือโรคขาดผู้ชายไม่ได้(ดูเหมือนโรคนี้ประเทศไทยจะเป็นกันเยอะ) เป็นโรคที่เกิดขึ้นกับผู้หญิงที่กระตุ้นให้พวกเธอมีความความต้องการทางเพศ สูงจนผิดปกติไม่สามารถควบคุมได้ จนเรียกได้ว่าคลั่งไคล้หรือบ้าคลั่ง แม้ว่าจะได้รับการตอบสนองทางเพศหลายครั้งแล้วก็ต้องการทางเพศอีก และผู้หญิงที่เป็นมักเปลี่ยนคู่นอนบ่อยจนเรียกได้ว่าสำส่อนทางเพศ รวมไปจนถึงการสำเร็จความใคร่ด้วยตนเองหลายครั้งต่อวันด้วย แต่สิ่งที่หลายคนชอบที่สุดคือคู่นอนของพวกเธอจะเป็นใครก็ได้หล่อไม่หล่อไม่ เกี่ยง ส่วนสาเหตุมาจากความผิดปกติของสมองหรือไม่ก็สารเสพติดมากเกินไป โดยสุดท้ายความต้องการทางเพศสูงนี้จะทำให้ชีวิตสมรสเสื่อมลง ครอบครัวแตกแยกในที่สุด(หากโรคนี้เกิดขึ้นกับผู้ชายจะเรียกว่า สไตเรียซิส) 




อันดับที่ 3


  Jumping Frenchman of Maine Disorder
โรคจัมพิ่ง เฟรนช์แมน ออฟ เมน เป็นโรคที่นายแพทย์จอร์จ มิลเลอร์ เบียร์ด ได้นิยามเป็นครั้งแรกเมื่อ ค.ศ.1878 เป็นโรคที่หายากที่ไม่สามารถระบุได้ว่าเกิดจากความผิดปกติที่ระบบประสาทหรือ ทางจิตใจ โดยผู้ป่วยที่เขาพบนั้นเป็นชายชาวแคนาดาเชื้อสายฝรั่งเศสใน มูสเฮด ในพื้นที่ของเมน ผู้ป่วยจะเกิดอาการตอบสนองทันทีเมื่อถูกกระตุ้นจนไม่สามารถควบคุมได้ ยกตัวอย่างเช่น หาก ตะโกนเสียงดังๆ ให้ผู้ป่วยทำอย่างใดอย่างหนึ่งผู้ป่วยก็จะทำตามนั้น เช่น ให้โยนวัตถุหนึ่งในมือของเขา เขาจะโยนโดยไม่ลังเล นอกจากนี้บ่อยครั้ง ที่ผู้ป่วยมักพูดประโยคแปลกๆ ประโยคที่เป็นภาษาต่างประเทศ ก็จะพูดประโยคนั้นๆ ซ้ำไปซ้ำมาอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้ 




อันดับที่ 2



  Coprolalia
เป็นอาการทางจิตเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวหรือการแสดงท่าทางหรือเปร่งเสียง บางอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วทันทีโดยไม่สามารถคาดการณ์ได้ในระยะสั้นๆ ของคนเสพติดได้กระทำเรื่องลามก อนาจารจนควบคุมตัวเองไม่ได้ เช่นไม่ได้ตั้งใจหรือพูดคำหยาบคายลามกเสื่อมเสียแก่วงหรือคู่สนทนาแต่อย่าง ใด(อย่าสับสนกับ Tourette Syndorome) ผู้เป็นอาการนี้ไม่รู้เหมือนกันว่าตนจะพูดเรื่องนี้เพื่ออะไร จนทำให้ผู้เป็นอาการรู้สึกอับอายและขัดขวางกิจกรรมทางสังคมกับคนอื่น นอกจากนั้นยังชอบโทรศัพท์ขอร่วมเพศ หรือพูดคำอนาจารในที่สาธารณะ และพบในชายมากกว่าหญิง 




อันดับที่ 1



  The Windigo Psychosi
วินดีโก มีที่มาจากชื่อ เป็นสัตว์ประหลาดในตำนานในคติชนของชนพื้นเมืองอเมริกันและแคนาดา ในตำนานบอกไว้ว่ามันสามารถเปลี่ยนรูปร่างได้ สิงร่างได้ ชอบทำร้ายมนุษย์และกินเนื้อคน และชื่อของมันถูกนำไปตั้งกับอาการทางจิตนาม The Windigo Psychosis เป็นโรคจิตชนิดหนึ่งจัดในประเภท Depressive reaction ซึ่งเกิดขึ้นเพราะวัฒนธรรมนั้นๆ โดยโรคนี้เกิดขึ้นกับอินเดียนแดงเผ่าแอลโกเลียน ในประเทศแคนาดา ซึ่งเกิดขึ้นกับชนหมู่มาก และอาการทางจิตชนิดนี้คือ “มีความรู้สึกอยากกินเนื้อมนุษย์” เพราะพวกเขาเชื่อว่าตนเองมีวิญญาณวินดีโก มาเข้าฝันและสิงสู่ ทำให้พวกเขาเกิดอาการซึมเศร้าและหลงผิดว่าตนเป็นสัตว์ร้ายและอยากกินเนื้อคน ขึ้นมา....


อ้างอิง : http://www.toptenthailand.com/