วันพฤหัสบดีที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2553

10 อันดับสัตว์ที่มีสีสันสดใสมากที่สุด

อันดับที่ 10

Weedy Sea-Dragon
มังกร ทะเลใบหญ้า มันเป็นญาติห่างๆกับม้าน้ำ มังกรทะเลเป็นสัตว์ทะเลที่ประหลาดและยังเป็นสัตว์ทะเลที่ยอดเยี่ยม สีของพวกมันทำหน้าที่พรางตาและร่างกายของพวกมัน ซึ่งจะแสดงต่างกันไปดูงดงามเลยทีเดียว

อันดับที่ 9

Lesser Flamingo
เป็น นกฟลามิงโก้สีชมพู เป็นหนึ่งในสิ่งมีชีวิตที่สวยที่สุด สีชมพูของพวกมันเกิดจากสาหร่ายที่พวกมันกินเข้าไป มันจะยกฝูงย้ายไปด้วยกันเสมอ ซึ่งมันดูเหลือเชื่อ


อันดับที่ 8

Sailfish
ปลา เหล่านี้จะมีลายสีฟ้า ซึ่งมันจะสว่างมากขึ้นเมื่อมันออกล่า จะช่วยให้เพื่อนของมันทราบถึงสิ่งที่มันทำอยู่ และช่วยในการสร้างความสับสนเหยื่อของพวกมัน พวกมันยังมีครีบใหญ่ที่ในยามปกติจะพับ แต่จะตั้งขึ้นเมื่อพวกมันรู้สึกตื่นเต้นหรือถูกคุกคาม

อันดับที่ 7

Bird of Paradise
พวก มันมีสีขนอันงดงามฉูดฉาด บางตัวเลยเถิดไปถึงขั้นพิสดาร สมกับที่ถูกเรียกขานให้เป็นนกที่มาจากสวรรค์ หรือมักถอดความในชื่อไทยว่า นกปักษาสวรรค์

อันดับที่ 6

Temminick’s Tragopan
เชื่อกันว่ามันเป็นไก่ฟ้าที่งามที่สุดในโลก ไก่ฟ้าชนิดนี้มีขนทั้งตัวเป็นจุดสีขาวบนพื้นหลังสีแดงและสีส้ม ขาสีชมพูและปากสีดำ

อันดับที่ 5

Blue- footed Bobby
นก บู๊บบี้ตีนฟ้า นกเหล่านี้มักจะเงอะงะบนพื้นดินแต่มันจะดีมากเลยเมื่ออยู่ในทะเล สีที่เท้าของมันดูสดใสมากจะเป็นเสน่ห์อย่างดีมากสำหรับนกตัวเมีย

อันดับที่ 4

Clownfish
ปลา การ์ตูนเหล่านี้จะมีสีแดง สีส้ม สีเหลือง หรือสีดำและจะมีแถบสีขาวคาด ถึงแม้ว่าพวกมันจะดูน่ารักดี แต่ควรจะระวังเพราะพวกมันปกคลุมไปด้วยน้ำเมือก พวกมันจะอาศัยอยู่ในหมู่ดอกไม้ทะเล ซึ่งน้ำเมือกจะช่วยป้องกันอันตรายจากดอกไม้ทะเล

อันดับที่ 3

Sockeye Salmon
โดย ปกติแล้วแซลมอนพวกนี้จะมีสีฟ้าและเงิน แต่ก่อนฤดูวางไข่ พวกมันจะเปลี่ยนเป็นสีเขียวและสีแดง ส่วนใหญ่จะพบในทางเหนือของมหาสมุทรแปซิฟิก

อันดับที่ 2

Monarch Butterfly
ผีเสื้อ จะมีความสง่างามและสวยงามเสมอ แต่ Monarch Butterfly จะพิเศษมากกว่าชนิดอื่นๆ มันมีสีสันงดงามไว้เตือนนักล่าและศัตรูว่าปีกมันมีพิษ

อันดับที่ 1

Panther Chameleon
มี ความสามารถในการเปลี่ยนสีตามสภาแวดล้อม,อุณหภูมิและแสงรอบ คาร์เมเลี่ยนจึงได้กลายเป็นคำที่ใช้เรียกการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของ อารมณ์และสีอย่างง่ายดาย จากสีแดงเป็นสีขาวหรือสีเขียวหรือสีฟ้าตามความรู้สึกที่มันชอบ

ที่มา : http://www.toptenthailand.com/display.php?id=1737

วันพุธที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2553

น้ำลาย...อัศวินในปาก


นอกจากย่อยอาหารบางส่วนได้แล้ว น้ำลายยังมีประโยชน์อีกมากมาย
ดร. แกฮาร์ด ไมเยอร์ ทันตแพทย์จากมหาวิทยาลัย Greifswald ในประเทศเยอรมนีรายงานว่า มนุษย์เมื่อประมาณ 23 000 ปีก่อนดูดอมก้อนกรวดเพื่อกระตุ้นการย่อยอาหาร ช่วยให้น้ำลายมีความสมดุลเพราะน้ำลายมีหน้าที่เหมือนหทารยามในปากเรา ในทุกมิลลิเมตรในน้ำลายของเรามีบัคเตรีอาศัยอยู่ประมาณ 100 ล้านตัวและมีประมาณ 600 ชนิด บางชนิดก็ให้ประโยชน์และบางชนิดก็ให้โทษ หากมีอาการปากแห้งก็ควรเคี้ยวหมากฝรั่งปราศจากน้ำตาล หรือหากจำเป็นก็กินยาเพื่อช่วยให้น้ำลายมีความสมดุล

ทั้งนี้จากการศึกษากับสัตว์ทดลองพบว่าเชื้อ Parodontose ในปากมีความสัมพันธ์กับโรคหัวใจและหลอดเลือดและโรคอัมพฤกษ์ อัมพาต และแม้กระทั่งในเด็กที่เกิดก่อนกำหนดและเด็กที่มีน้ำหนักต่ำกว่ามาตรฐานก็น่าจะเกิดจากแม่ที่มีโรคเกี่ยวกับเหงือก หรือเกิดจากการเปลี่ยนแปลงฮอร์โมนระหว่างการตั้งครรภ์ ดังนั้นการทำความสะอาดฟันระหว่างการตั้งครรภ์จึงสำคัญมาก นอกจากนี้ยังพบโปรตีนเป็นจำนวนมากในน้ำลายก็นำมาวินิจฉัยโรคได้ เพราะในอนาคตจะมีการวิเคราะห์น้ำลายกับโรคเอดส์ เบาหวาน หรือตรวจสตรีตั้งครรภ์ด้วยการทดสอบน้ำลาย

นอกจากนี้ในประเทศอเมริกายังได้สนับสนุนเงินช่วยเหลือ National Institutes of Health เป็นจำนวน 10 ล้านดอลลาร์เพื่อใช้กับ Sprit for the Cure ส่วนนักวิจัยจากเมืองอัมสเตอร์ดัม ประเทศเนเธอร์แลนด์ได้ยืนยันในเดือนกรกฎาคมว่าโปรตีนฮิสตามีนในน้ำลายช่วยในการรักษาแผลซึ่งเป็นการรักษาแบบพื้นบ้านดั้งเดิมโดยการพ่นน้ำลายใส่แผลตื้นที่หัวเข่าซึ่งใช้ได้ผลดี แต่ต้องเป็นน้ำลายตัวเองนะคะ

วันอังคารที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2553

แนะวิธี..ป้องกันสิววัยผู้ใหญ่



ในยุคนี้สิวในวัยผู้ใหญ่เป็นอะไรที่เราเห็นกันบ่อย ๆ นั่นเป็นเพราะการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนไปจากเดิมแต่เราก็มีวิธีง่าย ๆในการป้องกัน

1.หยุดสูบบุหรี่ : ผลการวิจัยแสดงให้เห็นว่าผู้หญิงที่สูบบุหรี่ 42% มีแนวโน้มจะเป็นสิวได้ง่ายกว่าผู้หญิงที่ไม่สูบบุหรี่
2.หาเวลาผ่อนคลาย : ความเครียดคือตัวการที่ทำให้สิวขึ้นและหายช้า ฉะนั้นก็หาเวลาไปเดินเล่นนอกบ้านบ้าง นอนแช่น้ำนานๆ ให้รู้สึกผ่อนคลาย หรือเข้านอนแต่หัววันเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์
3.เติมกรดไขมันโอเมก้า 3 : ซึ่งพบมากในน้ำมันปลา ไข่ ธัญพืช และน้ำมันมะกอก ซึ่งจะช่วยลดอาการอักเสบ ทำความสะอาดลำไส้ และช่วยให้ระดับฮอร์โมนในร่างกายเกิดความสมดุล

วันจันทร์ที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2553

เหตุเกิดจากการสูญเสียแคลเซียม

โรคกระดูกเป็นโรคที่ปัจจุบันกำลังกลายเป็นปัญหาใหญ่ โดยเฉพาะสำหรับคนไทยเราซึ่งยังดื่มนมกันน้อย โดยเฉลี่ย 14.19 ลิตรต่อคนต่อปี ในขณะที่ทั่วโลกอยู่ที่ 103.9 ลิตรต่อคนต่อปี ทั้งๆ ที่นมเป็นแหล่งแคลเซียมที่สำคัญ หาบริโภคได้ง่าย ราคาถูก ซึ่งข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุข พบว่า คนไทยที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป ป่วยเป็นโรคข้อเสื่อมและกระดูกพรุนถึงประมาณ 7 ล้านคน


โดยปกติกระดูกมนุษย์นั้นมีช่วงชีวิตการเจริญที่แตกต่างจากอวัยวะอื่นๆ กล่าวคือจะมีการเจริญเต็มที่ หมายถึง มีการสะสมของเนื้อกระดูกเต็มที่เมื่ออายุ 30 ปี ซึ่งกระดูกในช่วงดังกล่าวนั้นมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด คือ มีทั้งการสะสมของเนื้อกระดูก และการสลายของเนื้อกระดูกเพื่อเอาแคลเซียมออกไปใช้ในระบบหลอดเลือด ระบบประสาท และการทำงานของเซลล์ในร่างกาย อาจเรียกได้ว่า กระดูกเป็นแหล่งสะสมแคลเซียมที่สำคัญของร่างกาย

ในช่วงก่อนอายุ 30 ปีนั้นอัตราการไหลเข้าของแคลเซียม หรือการสะสมมีมากกว่าอัตราการสลาย แต่พออายุมากกว่า 30 ปีไปแล้วกลับตรงกันข้ามที่กระดูกจะมีการสลายมากกว่าการสะสม ซึ่งเป็นสาเหตุให้กระดูกบางลงๆ โดยกระดูกจะบางลงปีละ 5 เปอร์เซ็นต์โดยประมาณ ทำให้หลังจากช่วงอายุนี้ โอกาศที่จะเป็นโรคกระดูกพรุนหรือกระดูกเปราะจึงเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ

ดังนั้นการที่คุณผู้หญิงจะมีเนื้อกระดูกหนาหรือบางเท่าไรเมื่ออายุมากขึ้น จึงขึ้นอยู่กับต้นทุนของกระดูกที่สะสมมาตั้งแต่วัยเยาว์ ถ้าต้นทุนสูงก็จะมีเนื้อกระดูกตุนไว้ให้มาก ร่างกายก็จะมีแคลเซียมสะสมมากพอที่จะไม่ทำให้กลายเป็นโรคกระดูกหรือกระดูกพรุนได้ง่าย

โดยปัจจุบันนี้ คุณสามารถทราบแนวโน้มของภาวะเสี่ยงต่อการเป็นโรคกระดูกพรุน ด้วยเทคโนโลยี BIA (Bioelectrical Impedance Analysis) จากผลิตภัณฑ์เครื่องวัดองค์ประกอบในร่างกาย TANITA ที่สามารถคำนวณน้ำหนักของมวลกระดูกคุณได้ง่ายๆ เพียง 30 วินาที เพื่อช่วยคุณประเมินความเสี่ยงในการลดลงของมวลกระดูกในเบื้องต้น และอาจทำให้คุณได้มีเวลาหันกลับมาดูแลกระดูกของคุณให้แข็งแรงได้นานยิ่งขึ้น

วันอาทิตย์ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2553

วิตามินซีสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย


วิตามินซี เป็นสารอาหารที่สำคัญต่อร่างกายอีกชนิดหนึ่ง ที่ช่วยปกป้องเซลล์และสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกายแข็งแรง แถมยังช่วยเยียวยาร่างกายจากการบาดเจ็บ ช่วยให้ร่างกายต่อต้านการอักเสบได้ ป้องกันเลือดออกตามไรฟัน อันนี้ก็ได้ยินมาตั้งแต่เด็กเลย
โดยทั่วไป วิตามินซีพบได้ในอาหารจำพวกผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว ส้มสุกลูกไม้ต่างๆ ยิ่งในยุคสมัยใหม่อย่างนี้ ก็มีผู้ผลิตนำมาอัดเม็ด เป็นอาหารเสริมจำหน่ายกันมากมายในปริมาณต่างๆ กันไป นอกจากที่ว่าคนทั่วไปต้องการวิตามินซีแล้ว คนบางกลุ่มที่อาจจะมีสุขภาพไม่ค่อยดี หรือมีความจำเป็นต้องได้รับอาหารเสริมวิตามินซีเพิ่มขึ้นมากกว่าคนทั่วไปก็ มีเช่นกัน

กลุ่มคนบางกลุ่มที่มีความจำเป็นต้องได้รับวิตามินซีเพิ่มขึ้น โดยสามารถจัดแบ่งเป็นกลุ่มได้ดังนี้

- กลุ่มคนที่สูบบุหรี่
- กลุ่มคนที่เตรียมตัวผ่าตัด หรือเพิ่งฟื้นตัวจากการผ่าตัด
- ผู้ป่วยที่มีไตเทียม
- คนที่โดนกระทบอากาศเย็นเป็นเวลานาน


คุณอยู่ในกลุ่มคนเหล่านี้หรือเปล่า แต่ถึงจะไม่อยู่ในประเภทเหล่านั้น ก็อย่าลืมหาอาหารที่มีวิตามินซี เป็นส่วนประกอบมากินอย่างสม่ำเสมอ ก็จะเป็นการดีต่อสุขภาพไม่น้อยเพราะข้อมูลด้านสุขภาพแจ้งว่า มันยังช่วยบรรเทาความรุนแรงและระยะเวลาของการเป็นโรคหวัดได้ด้วย

อ้างอิง http://women.sanook.com/

วันเสาร์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2553

อาหารดีๆ ที่จะทำให้คุณสวยศรีษะจรดเท้า

อาหารเพื่อสุขภาพที่ดีช่วยให้คุณสวยได้ตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้ากันเลยที เดียว เพราะสุขภาพและความสวยจะเกิดขึ้นได้ต้องเริ่มจากภายในสู่ภายนอก ฉะนั้นเรามาทานอาหารเพื่อสุขภาพที่ดี กันดีกว่า นอกจากได้สวยแล้ว อาหารยังส่งผลที่ดีต่ออวัยวะในร่างกายให้ทำงานแข็งแรงและเป็นปกติดีอีกด้วย นั้นเรามาดู 12 อาหารเพื่อสุขภาพที่ดี "สวยตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า" กันเลยดีกว่า
1. กล้วย บำรุงเส้นผมผมร่วง ผมบาง ต้องกินกล้วยเพราะอุดมด้วยวิตามินบีซึ่งช่วยบำรุงผมและป้องกันผมร่วงได้ดี ทั้งยังเป็นแหล่งรวมของโพแทสเซียม ช่วยเรื่องระบบย่อยอาหารและลดอาการท้องผูก

2. ข้าวกล้อง บำรุงสมอง
ปกติข้าวกล้องดีต่อสุขภาพเพราะมีจมูกข้าวและเยื่อหุ้มเมล็ดข้าวจึงมีทั้ง วิตามินบีรวม ฟอสฟอรัส แคลเซียม ธาตุเหล็ก กากใย ฯลฯ แต่ตอนนี้ที่กระแสรักสุขภาพมาแรงทำให้เกิดข้าวกล้องหอมมะลิเพาะงอกที่มีสาร กาบาสูง ซึ่งช่วยรักษาสมดุลสารสื่อสารลดความเครียดวิตกกังวลและป้องกันการเกิดโรค อัลไซเมอร์ได้อีกด้วย

3. นม บำรุงฟันและกระดูก
สารอาหารสำคัญในการสร้างกระดูกก็คือแคลเซียม ซึ่งพบได้มากในนมแถมยังเป็นแคลเซียมที่ร่างกายสามารถดูดซึมไปใช้ได้ดีกว่าแหล่งอื่น ๆ

4. ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ บำรุงสายตา
ผลงานวิจัยชิ้นหนึ่งระบุว่าแอนโทไชยานิน (Antho-cyanin) ซึ่งเป็นสารเม็ดสีในเบอร์รี่ช่วยให้มองเห็นชัดในที่มืดหรือที่ที่มีแสงสลัว ๆ ได้ชัดเจนขึ้น และช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้กับเลนส์ตาและเส้นเลือดฝอยในลูกตาด้วย
5. อะโวคาโด บำรุงใบหน้าแม้เป็นผลไม้ที่มีไขมันสูงแต่เป็นกรดไขมันโอเมก้า 9 ที่มีประโยชน์ ที่สำคัญวิตามินบีและอีในอะโวคาโดสามารถช่วยบำรุงผิว ทำให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์และปกป้องผิวจากรังสีต่าง ๆ ในแสงแดด

6. ปลาแซลมอน บำรุงหัวใจ
มีโปรตีนคุณภาพเพียบคอเลสเตอรอลและไขมันอิ่มตัวต่ำมีไขมันชนิดดีอย่างโอเม ก้า 3 สูง ซึ่งช่วยลดโอกาสการเกิดลิ่มเลือดอุดตันเส้นเลือดและภาวะหัวใจเต้นไม่เป็น จังหวะ ลดไขมันไตรกลีเซอไรด์ ชะลอการเติบโตของคราบไขมันในเส้นเลือด

7. น้ำมันมะกอก บำรุงหลอดเลือด

มีไขมันชนิดดี (HDL) อยู่สูงจึงช่วยขนถ่ายคอเลสเตอรอลจากเซลล์เข้าสู่ตับ เพื่อเผาผลาญจึงไม่มีไขมันสะสมที่สำคัญช่วยป้องกันการเกาะตัวของคอเลสเตอรอล ที่บริเวณเยื่อบุผนังหลอดเลือดทำให้เลือดไหลเวียนได้สะดวกไม่เกิดเป็นเส้น เลือดอุดตัน

8. กะหล่ำปลี บำรุงทรวงอก
งานวิจัยของสมาคมเพื่อการวิจัยมะเร็งของสหรัฐพบว่า ผู้หญิงโปแลนด์ที่กินกะหล่ำปลีทั้งสดและดองอย่างน้อยสัปดาห์ละ 4 ครั้ง มีโอกาสเป็นมะเร็งเต้านมลดลงถึง 75%

9. ชาเขียว บำรุงกระเพาะอาหาร

ผลการวิจัยพบว่า ชาเขียวสามารถลดอัตราการเป็นมะเร็งของอวัยวะต่าง ๆ ได้ดี โดยเฉพาะมะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งปอดมะเร็งลำไส้ และมะเร็งตับ นอกจากนี้ยังมีสารต้านอนุมูลอิสระประเภทฟลาโวนอยด์ที่ทรงพลังหลายชนิดดื่ม แล้วจึงสวยใสพร้อมสุขภาพดี

10. พริกหยวก บำรุงเล็บพริกหวานหลากสีสันล้วนอุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ที่ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันและกระตุ้นการเผาผลาญให้กับร่างกาย นอกจากนี้น้ำฉ่ำ ๆ จากพริกหยวกยังช่วยให้สุขภาพเล็บแข็งแรงด้วย

11. ถั่ว บำรุงลำไส้ใหญ่
เป็นอาหารอีกประเภทที่มีโปรตีนสารต้านอนุมูลอิสระและเส้นใยสูงมากจึงสามารถ ช่วยจัดสมดุลของระบบขับถ่ายได้เป็นอย่างดี ทำให้ช่วยลดโอกาสเกิดมะเร็งลำไส้ได้

12. ผักโขม บำรุงกระดูก

ผักโขมยังอุดมด้วยวิตามินเคที่ช่วยเสริมสร้างความหนาแน่ของกระดูก จึงช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุนได้เป็นอย่างดีและลดความเสี่ยงต่อการเกิดกระดูก หักด้วย

รู้แล้วก็อย่าลืมเพิ่มอาหารเหล่านี้เข้าไปในแต่ละมื้ออาหาร จะได้สุขภาพดีศีรษะจรดปลายเท้าเลยนะค่้ะสาวๆ



คิดให้ดีก่อนใส่คอนแทคเลนส์

ใครหลาย ๆ คนที่กำลังตัดสินใจเปลี่ยนจากการใช้แว่นสายตา หันมาใช้คอนแทคเลนส์ รวมทั้งผู้ใส่คอนแทคเลนส์อยู่เป็นประจำ อาจมีข้อสงสัยที่ยังรอคำตอบเกี่ยวกับคอนแทคเลนส์ วันนี้เรามีเรื่องน่ารู้ก่อนตัดสินใจใช้คอนแทคเลนส์ มาฝากค่ะ


คำถามที่ 1 คอนแทคเลนส์มีอันตรายต่อดวงตาของผู้ใช้ได้หรือไม่

ตอบ มีแน่นอนค่ะ เพราะดวงตาเป็นอวัยวะที่ละเอียดอ่อน ถ้าคิดที่จะใช้ ควรจะได้รับการตรวจดวงตาจากจักษุแพทย์ก่อน เพื่อดูว่ามีโรคตาที่เป็นข้อห้ามในการใช้คอนแทคเลนส์หรือไม่ เลนส์ที่ใช้อยู่เหมาะสมกับดวงตาหรือไม่ เช่น เลนส์นั้นมีความโค้งเข้ากับความโค้งของกระจกตาคุณหรือเปล่า ถ้าคับหรือหลวมไปอาจเป็นอันตรายได้ หรือน้ำตาของคุณมีเพียงพอสำหรับใช้เลนส์ชนิดใด เช่น ถ้าน้ำตาค่อนข้างน้อยควรใช้เลนส์ชนิดแข็ง เป็นต้น

คำถามที่ 2 คอนแทคเลนส์ชนิดใส่ครั้งเดียวทิ้ง มีคุณสมบัติดีกว่าแบบใส่เป็นปีจริงหรือไม่
ตอบ ไม่เสมอไป การเปลี่ยนบ่อย ๆ ข้อดีคือได้เลนส์ที่สะอาด กำจัดปัญหาที่เกิดจากเลนส์สกปรก เช่น ระคายตา ตาอักเสบ หรือตามัว เลนส์ชนิดนี้เป็นเลนส์ที่ใส่นอนได้ เลยมักเป็นเลนส์ที่อมน้ำมาก หรือบางมาก เพื่อให้ออกซิเจนผ่านไปที่กระจกตาได้ดี ซึ่งจะแห้งเร็วและไม่ค่อยคงรูปในขณะใส่ ทำให้ความชัดของภาพที่เห็นเปลี่ยนแปลงขณะกะพริบตา โดยเฉพาะในรายที่มีสายตาเอียงมาก
คำถามที่ 3 การใช้คอนแทคเลนส์ จะป้องกันสายตาไม่ให้ผิดปกติเพิ่มขึ้นได้จริงหรือไม่
ตอบ ไม่จริง ยกเว้นบางรายที่ใช้เลนส์ชนิดแข็ง หรือครึ่งแข็งครึ่งนิ่ม (Gas Permeable Lens) สายตาอาจไม่เปลี่ยนแปลงหรือลดลงเล็กน้อยได้ เนื่องจากความโค้งของกระจกตาเปลี่ยนไป
คำถามที่ 4 คอนแทคเลนส์ทำให้ดวงตาติดเชื้อโรคได้หรือเปล่า
ตอบ คอนแทคเลนส์ที่สกปรก เนื่องจากไม่ได้รับการดูแลที่ถูกต้องสามารถทำให้ติดเชื้อได้ ดังนั้นก่อนนำไปใช้ทุกครั้งจะต้องแช่เลนส์ไว้ในน้ำยาอย่างน้อย 5-6 ชั่วโมง หรือแช่ทิ้งไว้ตลอดคืนจะสามารถฆ่าเชื้อโรคได้ และห้ามนำเลนส์ไปแช่ในน้ำเกลือโดยเด็ดขาด
นอกจากนั้นผู้ใช้ควรปิดตลับ และขวดน้ำยาให้เรียบร้อยก่อนที่จะไปล้างมือด้วย สบู่ เพื่อป้องกันการปนเปื้อน ส่วนตลับใส่เลนส์ควรล้างด้วยสบู่และลวกน้ำร้อนทุกเดือน และควรเปลี่ยนตลับบ่อย ๆ หรือทุก 6 เดือน
คำถามที่ 5 ถ้าเข้าใกล้เตาไฟร้อน ๆ คอนแทคเลนส์จะละลายได้หรือไม่
ตอบ ไม่
คำถามที่ 6 จะรู้ได้อย่างไรว่ามีความผิดปกติเกิดขึ้นแล้วหลังจากใส่คอนแทคเลนส์
ตอบ ถ้าใส่เลนส์แล้วมีอาการระคายเคือง เจ็บ น้ำตาไหล ตามัว หรือตาแดง สิ่งเหล่านี้ถ้าเกิดขึ้น ต้องหยุดใช้เลนส์ทันที และควรพบจักษุแพทย์โดยด่วน
คำถามที่ 7 ทำไมบางครั้งเมื่อใส่คอนแทคเลนส์ไปนาน ๆ หรือใส่นอนข้ามคืน จึงเห็นแสงสีรุ้งรอบดวงไฟ
ตอบ ที่เป็นเช่นนั้น เกิดจากการใช้เลนส์นานเกินไป ควรให้จักษุแพทย์ตรวจดูว่าเลนส์นั้นเหมาะกับตาของคุณหรือไม่ หรืออาจเกิดจากกระจกตาบวม เนื่องจากมีออกซิเจนไปถึงกระจกตาไม่เพียงพอ ทั้งนี้เป็นเพราะเลนส์ที่ใช้เป็นชนิดที่ใส่ตอนนอนหลับไม่ได้ แต่คุณยังทำ หรืออาจเกิดจากเลนส์สกปรก หรือเลนส์หมดอายุ
ข้อดี ของคอนแทคเลนส์ นอกจากจะเพิ่มความสะดวกสบายและเสริมบุคลิกที่ดีแล้ว อย่าลืมเติมความใส่ใจให้กับความสะอาดและการดูแลที่ดีอีกสักนิด เพื่อถนอมดวงตาคู่สวยให้อยู่กับคุณตลอดไป

วันศุกร์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2553

นั่งไขว่ห้าง...นั่นแหละสาเหตุ


ใครปวดขา ปวดตัว แล้วคิดว่าสาเหตุเป็นเพราะนั่งทำงานหน้าคอมฯ อยากให้ลองเลิก 'นั่งไขว่ห้าง' แล้วดูว่าอาการปวดของคุณ ดีขึ้นหรือไม่


ใครที่บ่นปวดขา ปวดตัว ปวดคอ และเชื่อว่าอาการปวดเหล่านั้น ล้วนเกิดจากการนั่งทำงานหน้าคอมพิวเตอร์ทั้งวัน คงจะต้องคิดทบทวนดูใหม่ เพราะแม้การนั่งหน้าคอมฯทั้งวันจะทำให้ปวดเมื่อยอยู่บ้าง แต่คุณลองถามตัวเองหรือยังว่า คุณนั่งไขว้ห้าง ตอนพิมพ์งาน หรือ เล่นอินเตอร์เน็ตหรือเปล่า...?

การนั่งไขว่ห้าง อาจเป็นท่านั่งสบายๆ สำหรับหลายคน ซึ่งจริงๆ แล้วการนั่งไขว่ห้าง คือ ท่านั่งที่ถ่ายน้ำหนักไปด้านใดด้านหนึ่งซ้ำๆ เป็นเวลานานๆ ดังนั้นระหว่างที่เรานั่งไขว่ห้าง เส้นเลือดใหญ่ที่ต้นขาทั้งสองจะถูกแรงของขาทั้งสองบีบเอาไว้ให้เลือดไหล เวียนไม่สะดวก ทำให้หัวใจต้องทำงานหนักขึ้น เพราะต้องสูบฉีดเลือดให้ร่างกายลำเลียงไปเลี้ยงส่วนต่างๆให้ทั่วถึง

และนอกจากการนั่งไขว่ห้างจะทำให้เกิดอาการปวดเมื่อย ตั้งแต่ปวดเมื่อยเล็กน้อยไปจนถึงโรคปวดเรื้อรังแล้ว ในบางรายยังมีอาการวิงเวียนศีรษะ หน้ามืดหลังลุกจากท่านั่งไขว่ห้างนานๆ หรือ อาจมีอาการปวดบวมที่ขาทั้งสองข้างด้วย ดังนั้น การป้องกันจึงไม่ควรนั่งในท่าที่ทิ้งน้ำหนักตัวไปข้างใดข้างหนึ่งมากเกินไป หรือ หากจะนั่งไขว่ห้างก็ควรสลับเปลี่ยนด้านบ่อยๆ เพื่อไม่ให้เป็นผลเสียต่อสุขภาพ



อ้างอิง http://women.sanook.com

วันพฤหัสบดีที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2553

5 ความเข้าใจผิดๆ ในการออกกำลัง


5 ความเข้าใจผิดๆ ในการออกกำลังที่อาจส่งผลเสียให้คุณได้ และวิธีการแก้ไขมัน
ถ้าคุณหาเวลาและพยายามที่จะออกกำลังแล้ว คุณก็ต้องการเห็นผล แต่ก็เช่นเดียวกับคนออกกำลังอีกจำนวนมาก เจตนาที่ดีของคุณบางอย่างทำลายการออกกำลังของคุณก็ได้ กำจัดข้อผิดพลาดที่พบกันบ่อยเหล่านี้ซะ แล้วคุณจะผอมเพรียวลงและแข็งแรงขึ้น—ได้อย่างรวดเร็วกว่า
1. เติมพลังงานมากเกินไป
คนที่ออกกำลังทุกวันส่วนใหญ่มักชอบกินอาหารแท่งให้พลังงานหรือสปอร์ตดริ๊งก์ เพราะคิดว่าของเหล่านี้จะให้ความแข็งแรงเพิ่มขึ้น ทั้งที่ความจริงแล้ว สิ่งที่มันให้ก็คือแคลอรี ทำให้คุณอาจกินหรือดื่มเข้าไปตั้ง 700 แคลอรีได้อย่างง่ายดาย ในขณะที่ออกกำลังไปเพียงแค่ 200 แคลอรีเท่านั้น ถ้าคุณต้องการกินอะไรสักหน่อยเพื่อเพิ่มพลัง กินแค่ผลไม้หรือถั่วสักหน่อยกับน้ำก็พอแล้ว

2. คิดว่าแค่ครั้งเดียวก็พอแล้ว
คนจำนวนมากเชื่ออย่างผิดๆ ว่า การออกกำลัง 30 นาทีบนลู่วิ่งไฟฟ้าเป็นใบอนุญาตให้นั่งแช่ไปตลอดทั้งวันที่เหลือได้ ที่จริงแล้วการออกกำลังเป็นการสะสม ยิ่งคุณเคลื่อนไหวมากแค่ไหน คุณก็จะยิ่งได้รับผลดีมากแค่นั้น ฉะนั้น เลิกคิดว่าการออกกำลังว่าคืออะไรก็ตามที่คุณทำเพียงแค่ครึ่งชั่วโมง และเคลื่อนไหวให้มากขึ้นตลอดทั้งวัน

3. ออกกำลังหนักเกินไป
ความหนักเป็นเรื่องดี แต่เพียงแค่เล็กน้อยจะได้ผลมากกว่าที่คิด คนเรามักคิดว่าถ้าออกกำลัง ก็จะต้องออกกำลังให้หนักที่สุดเท่าที่จะทำได้ตลอดเวลา แล้วพวกเขาก็ต้องเลิกไป เพราะทำให้ตัวเองบาดเจ็บ หรือไม่ก็ไม่อาจทำต่อไปได้ แทนที่จะทำเช่นนั้น ออกกำลังด้วยความหนักปานกลางสัก 45 นาที คุณจะทำอย่างต่อเนื่องได้ง่ายกว่า หรือใช้การออกกำลังแบบอิเทอร์วัล ที่คุณจะเร่งความหนักให้มากขึ้นเป็นช่วงๆ

4. แบ่งแยกสมาธิ
การมีสิ่งรบกวนสมาธิเล็กน้อย เช่น ทีวี สามารถทำให้เวลาการออกกำลังดูเหมือนจะผ่านไปเร็วขึ้น แต่เป็นการรบกวนมากเกินไปสำหรับการออกกำลังของคุณ กิจกรรมใดก็ตามที่ต้องมีการใช้สมาธิ เช่น การอ่านนิยายหรือบทความยาวๆ ต้องการความสนใจและสมาธิจากคุณ ทำให้ร่างกายคุณช้าลงโดยไม่รู้ตัว ทางออกที่ดีกว่าก็คือ หาบางอย่างที่ช่วยให้คุณจดจ่อกับการออกกำลัง เพลงที่สนุกสนานเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่ดีที่สุด

5. ให้รางวัลมากกว่าความพยายาม
คนส่วนมากที่ใช้อาหารเป็นรางวัล ได้รับแคลอรีมากกว่าที่พวกเขาใช้ไป ถ้าคุณจะใช้ขนมหรืออาหารค่ำดีๆ เพื่อเป็นตัวล่อให้ตัวเองก้าวต่อไปเรื่อยๆ ก็ให้รางวัลตัวเองบ่อยน้อยลงหน่อย สักเดือนละครั้ง ถ้าคุณออกกำลังอย่างสม่ำเสมอ และสำหรับรางวัลที่บ่อยกว่านั้น เปลี่ยนเป็นการซื้อของให้ตัวเองแทนการกินจะดีกว่า

วันพุธที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2553

10 ศัลยกรรมเสริมสวย ที่คุณควรระวัง



คุณผู้หญิงที่ยังไม่พอใจในรูปร่าง สัดส่วน หรืออวัยวะต่าง ๆ ของร่างกายแล้วอยากทำศัลยกรรมส่วนต่าง ๆ เพื่อเปลี่ยนแปลงส่วนที่ยังไม่ค่อยพอใจ เรามี 10 ศัลยกรรมเสริมสวยที่คุณควรระวังมาบอก


    1. วิธีลดความอ้วนด้วยวิธีฉีดสาร Lipodissolve เพื่อละลายไขมันตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ซึ่งศัลยแพทย์และแพทย์ผิวหนังเห็นว่าควรหลีกเลี่ยงมากที่สุด เพราะไม่มีการรับรองว่าได้ผลจริง อีกทั้งการทำ Lipodissolve นั้นยังไม่ได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยาของประเทศสหรัฐฯ อีกด้วย


    2. ศัลยกรรมเท้า ปัจจุบันผู้หญิงหันมาทำศัลยกรรมเท้า เพื่อปรับเปลี่ยนรูปร่างเท้าให้ดูสวยงามและเซ็กซี่มากยิ่งขึ้น แต่นายแพทย์เกลนน์ บี. เฟฟเฟอร์ ประธานสมาคมศัลยกรรมกระดูกเท้าและข้อเท้าแห่งประเทศสหรัฐอเมริกา กล่าวว่า การทำศัลยกรรมเท้าใช้หลายวิธีร่วมกัน ซึ่งอาจส่งผลต่อเท้าได้ ทั้งอักเสบ เซลล์ประสาทถูกทำลาย เท้าบวมเรื้อรัง และเจ็บขณะเดิน


    3. การฉีดเสริมส่วนต่าง ๆ แบบถาวร ไม่ว่าจะเป็นริมฝีปาก หรือปกปิดริ้วรอย โดยทั่วไป สารใช้ฉีดมักจะเป็นการฉีดแบบชั่วคราว เมื่อเวลาผ่านไปสารเหล่านี้จะถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย และสิ่งต่าง ๆ ที่ทำไว้ก็จะกลับคืนสภาพเดิม แต่ก็มีสารบางชนิดที่เป็นการฉีดแบบถาวร ซึ่งจะไปจับตัวกับเนื้อเยื่ออย่างถาวร และมีโอกาสที่จะจับผิดที่ผิดทาง แทนที่จะสวยกลับดูบิดเบี้ยวผิดธรรมชาติไป


    4. การฉีดเสริมเต้านม โดยปกติแล้วแพทย์จะนำไขมันจากส่วนอื่นของร่างกายมาฉีดเสริม ความจริงแล้วการฉีดไขมันเข้าไปยังเนื้อเยื่อบริเวณหน้าอกเป็นอันตรายอย่างมาก เพราะไขมันที่ฉีดเข้าไปอาจแข็งตัวทำให้ตรวจหามะเร็งเต้านมได้ยากขึ้น


    5. ต่อความยาวขา เป็นการผ่าตัดที่รู้จักกันดีในแถบเอเชีย แต่ความสุงเพิ่มขึ้นไม่มากอย่างที่คิด และแพงเกินคาด เฉลี่ยต่อครั้งประมาณ 4,200,000 บาท สรุปคือ สูงขึ้นนิดหน่อย เสียเงินเยอะ แถมเจ็บตัวอีกต่างหาก


    6. ศัลยกรรมเสริมบั้นท้าย ทำโดยเสริมแผ่นซิลิโคนก้อนแข็ง ลงไปใต้เส้นใยกล้ามเนื้อสะโพก ทั้งนี้ การทำศัลยกรรมสะโพกนั้นมีโอกาสติดเชื้อได้ง่าย เนื่องจากจะเย็บแผลให้อยู่ระหว่างบั้นท้ายทั้งสอง ซึ่งทำให้แผลนั้นอยู่ใกล้กับทวารหนัก แหล่งสะสมสารพัดเชื้อโรคค่ะ


    7. สักหน้า ไม่ว่าจะเป็น คิ้ว ขอบตา ขอบปาก ฯลฯ เมื่อเวลาผ่านไปหรือคุณเบื่อขึ้นมาจะทำยังไง!! จริงอยู่ที่ยุคนี้ลบรอยสักได้สบาย แต่ทราบมั้ยค่ะว่า พื้นที่ส่วนใหญ่บนใบหน้ามักเป็นเนื้อเยื่ออ่อน ซึ่งการใช้เลเซอร์ลบรอยนั้นทำได้ยาก และผลที่ได้นั้นอาจจะไม่ดีเท่าที่ควร


    8. ศัลยกรรมใบหน้า ทั้งดูดไขมันที่แก้มเพราะหวังให้หน้าดูเล็กลง เซ็กซี่มากขึ้น แต่คุณอาจได้หน้าบุ๋ม เป็นหลุมเพราะไขมันถูกดูดออกไปเยอะเกินพอดีก็ได้ และต่อไปก็ดึงหน้า ที่มักจะมีปัญหาเรื่องแผลผ่าตัดซึ่งเห็นได้ชัดจนต้องวิ่งกลับไปแก้แล้วแก้อีก


    9. การผ่าตัดกระชับทรวงอก ด้วยวิธีการตัดผิวหนังส่วนเกินออก (mastopexy) เป็นการผ่าตัดที่มีโอกาสผิดพลาดได้มากที่สุด เพราะบางครั้งเมื่อทำการเสริมหน้าอกแล้วผิวหนังที่ลอกออกมากลับไม่เพียงพอ กับขนาดหน้าอกใหม่ ทำให้ต้องพยายามดึงผิวหนังที่เหลือมาเย็บปิด ปัญหาที่ตามมาหลังจากการผ่าตัดนี้ คือ การติดเชื้อ วัสดุที่ใช้เสริมหลุดออก หน้าอกไม่เท่ากัน หัวนมด้าน ไม่สามารถให้นมบุตรได้ และปัญหาการฟื้นตัวค่ะ


    10. การเสริมสวยทุกอย่างที่ไม่ได้ทำโดยผู้เชี่ยวชาญ ไม่ใช่ว่าทุกคนจะสามารถทำศัลยกรรมให้กับคุณได้ดี เพราะฉะนั้น ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับแพทย์ให้ละเอียดก่อนที่จะตัดสินใจทำศัลยกรรม จะได้กันไว้ดีกว่าแก้ค่ะ




อ้างอิง http://women.mthai.com/views_health_11_47_42169_1.women

วันอังคารที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2553

5 โรคของผู้ชายที่ไม่แสดงอาการ

ถ้าไม่ตรวจสุขภาพกันเป็นประจำ คนที่ภายนอกดูเหมือนสุขภาพแข็งแรงดี บางครั้งอาจจะมีอาการป่วยบางอย่างแอบซ่อนอยู่ในร่างกายโดยที่ไม่รู้ตัวก็ได้ ถ้าคุณร้างลาการตรวจสุขภาพมานาน ไม่ให้ความสำคัญกับพฤติกรรมการบริโภคของตัวเองและขาดการออกกำลังกาย นายแพทย์บุญเทียม พิทักษ์ดำรง-กุล ผู้อำนวยการศูนย์ อาร์เอสยู (RSU) เมดิคอลเซ็นเตอร์ เตือนว่า คนกลุ่มนี้มีโอกาสที่จะเป็น 1 ใน 5 (หรือมากกว่า) โรคที่ไม่แสดงอาการของผู้ชายทั่วไป ซึ่งมีดังต่อไปนี้

1. โรคทาลัสซีเมีย : เป็นโรคโลหิตจางที่เกิดจากเม็ดเลือดแดงผิดปกติ แตกง่าย มีโอกาสเป็นได้ทั้งหญิงและชาย โดยที่ได้รับการถ่ายทอดทางพันธุกรรม โรคนี้เป็นโรค ที่สามารถพบได้ทั่วโลก แต่พบได้มากในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และประเทศไทย ยากที่จะดูออกเพราะผู้ที่มียีนแฝงทาลัสซีเมียมักจะมีลักษณะและสุขภาพดีเหมือนคนทั่วๆ ไป โดยในประเทศไทยมีพาหะหรือยีนแฝงมากถึงราว 40 เปอร์เซ็นต์ของประชากร ! ก่อนแต่งงานเป็นคู่สามีภรรยา ทั้งชายและหญิงจึงควรตรวจเลือดตนเองเพื่อคัดกรองว่ามียีนแฝง (พาหะ) อยู่หรือไม่และถ้าทราบว่ามียีนแฝงหรือพาหะ ก็ควรที่จะแนะนำให้คนในครอบครัวไปตรวจเลือดเพื่อความมั่นใจครับ

2. โรคเบาหวาน : แสดงถึงการเผาผลาญน้ำตาลที่ไม่สมดุล ทำให้มีระดับน้ำตาลค้างอยู่ในเลือดสูงเกินกว่าปกติหรือห่างจากปริมาณที่เหมาะสม ซึ่งจะทำให้ไตทำงานหนัก โดยร่างกายจะมีอาการอ่อนเพลีย กระหายน้ำบ่อยมาก ปัสสาวะบ่อย และมีน้ำหนักตัวลดลง สำหรับกลุ่มคนที่มีความเสี่ยงสูงได้แก่ ผู้ที่เป็นโรคอ้วน โดยเฉพาะร่วมกับมีความดันโลหิตสูง ชอบกินของหวานมากๆ หรือมีประวัติโรคเบาหวานในครอบครัว
ถ้าตรวจพบว่ามีระดับน้ำตาลในเลือดมากกว่า 126 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ (ควรตรวจซ้ำ 2 ครั้ง) ถือว่าเป็นเบาหวาน ถ้าเจาะแบบไม่ได้อดอาหาร (Random) แล้วได้น้ำตาลในเลือดมากกว่า 200 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ก็ถือว่าเป็นเบาหวาน ต้องได้รับการรักษาเช่นเดียวกัน เพราะผลแทรกซ้อนของเบาหวานอาจทำให้ร่างกายติดเชื้อง่าย ภูมิคุ้มกันต่ำ เกิดภาวะหลอดเลือดตีบแข็ง ไตเสื่อม ไตวาย หลอดเลือดเลี้ยงจอประสาทตาตีบตันทำให้จอประสาทตาเสื่อม หลอดเลือดเลี้ยงสมองตีบตัน และทำให้สมรรถภาพทางเพศลดถอยลง

3. โรคหัวใจขาดเลือด : หลอดเลือดเลี้ยงหัวใจเกิดการตีบส่วนใหญ่แล้วเกิดจากหลอดเลือดแข็งตัวขึ้นเนื่องจากมีไขมันสะสมในผนังด้านในของหลอดเลือด เป็นผลให้เลือดไหลผ่านไปยังกล้ามเนื้อหัวใจได้ไม่ง่าย นอกจากนั้นยังอาจเกิดจากเกล็ดเลือดและลิ่มเลือดอุดตันได้
อาการที่สำคัญของภาวะหัวใจขาดเลือดคืออาการเจ็บ แน่นหน้าอก โดยเฉพาะอย่างยิ่งขณะออกแรง แต่เมื่อได้พักแล้วจะรู้สึกดีขึ้น อึดอัดบริเวณกลางหน้าอกหรือค่อนมาทางซ้าย หายใจไม่สะดวก อาจมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น คลื่นไส้ อาเจียน เหงื่อแตก ใจสั่น หน้ามืด บางรายนอกจากแน่นบริเวณหน้าอกแล้วยังอาจเจ็บร้าวไปที่หัวไหล่ แขน หรือคอ มักเกิดขึ้นกับคนที่มีประวัติครอบครัวเป็นโรคความดันโลหิตสูง เบาหวาน ไขมันในเลือดสูง สูบบุหรี่ ขาดการออกกำลังกายสม่ำเสมอ เจ้าอารมณ์ โมโหง่าย และเครียดเป็นประจำ สำหรับแนวทางการรักษาที่สำคัญนั้นมี 3 แนวทางด้วยกัน คือ รักษาด้วยยา รักษาโดยการขยายหลอดเลือดเลี้ยงหัวใจ และสุดท้ายรักษาโดยการผ่าตัด

4. โรคมะเร็งปอด : คุณทราบดีว่าการสูบบุหรี่จัดยิ่งนานวันก็ยิ่งมีโอกาสเป็นโรคนี้ได้มาก แต่ก็ไม่ควรละเลยความจริงที่ว่ามลพิษทางอากาศ จากควันดำ จากเครื่องยนต์ รถยนต์ อากาศเสีย (Smog) ในเมืองหลวง ผู้ที่ทำงานเกี่ยวกับอุตสาหกรรมเหมืองแร่ หรือผู้ที่สัมผัสสารกัมมันตรังสี ก็มีโอกาสป่วยจากโรคนี้ได้เช่นเดียวกัน
ดังนั้น หากมีอาการไอแห้งๆ นานกว่าปกติ เช่น มากกว่า 2 สัปดาห์หรือเป็นเดือน ไอมีเสมหะปนเลือด เจ็บหน้าอก เบื่ออาหาร น้ำหนักลด อ่อนเพลีย หายใจลำบากเนื่องจากการอักเสบเรื้อรัง ควรได้รับการวินิจฉัยตรวจเสมหะ การ X-ray ปอด ทุกๆ 6 เดือนหรือ 1 ปี เป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างมากเพื่อการรักษาและป้องกันที่ถูกวิธี

5. โรคตับอักเสบจากไวรัส : สำหรับ ‘ไวรัสตับอักเสบ' เมื่อติดเชื้อนี้ทั้งจากการถ่ายทอดทางพันธุกรรม การมีเพศสัมพันธ์ หรือการรับบริจาคเลือดที่ไม่มีการคัดกรอง จะมีอาการของตับอักเสบ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร มีไข้ ปวดเมื่อย และต่อมาเริ่มมีอาการปัสสาวะเข้ม ตาเหลือง ผิวหนังตามตัวเหลือง ประมาณ 2-3 สัปดาห์ หรือบางครั้งถึง 4 สัปดาห์จึงจะหาย แต่บางรายที่พบเชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดรุนแรง เช่น ชนิดบี (บางชนิด) ชนิดซี (บางชนิด) ก็อาจรุนแรงถึงขั้นตับวายและเสียชีวิตได้
และถ้าพูดถึงสถิติและความ อันตรายของโรคควบคู่กันไปแล้ว คุณหมอบอกกับเราว่าโรคนี้ค่อนข้างที่จะมีสถิติที่น่าเป็นห่วงกว่า 4 โรคที่ผ่านมา แต่ในเวลานี้ก็ได้มีการผลิตวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบทั้งชนิดเอและบีได้ แล้ว เพราะฉะนั้นสำหรับวิธีที่จะใช้ในการรักษาและป้องกันในกรณีที่ไม่เคยฉีด วัคซีนและไม่เคยเป็นโรคนี้มาก่อน คุณควรจะหาโอกาสพบแพทย์เพื่อตรวจเลือดดู ว่าร่างกายมีไวรัสตับอักเสบ เป็นพาหะ หรือมีภูมิคุ้มกันโรค
ดังกล่าวอยู่ในร่างกายหรือไม่ นอกจากนี้ผู้ป่วยที่เคยเป็นหรือผู้ที่สงสัยว่าอาจเป็นพาหะของโรคก็ไม่ควรบริจาคเลือด จนกว่าจะมั่นใจจากผลการตรวจจากแพทย์ว่าหายขาด ไม่เป็นพาหะ และสามารถบริจาคเลือดได้จริง


5 โรค ดังกล่าวถูกคัดเลือกมาจาก 7 โรคอันตรายที่ไม่แสดงอาการ ซึ่งประกอบด้วย โรคทาลัสซีเมีย โรคเบาหวาน โรคหัวใจขาดเลือด โรคมะเร็งปอด โรคตับอักเสบจากไวรัส รวมทั้งโรคมะเร็งเต้านม และโรคมะเร็งปากมดลูกที่พบในสุภาพสตรี


อ้างอิง  http://women.sanook.com

วันจันทร์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2553

กินอะไรแล้วช่วยให้ความจำดี?

คุณเคยรู้สึกไหมว่า เราได้ใช้งานสมองอย่างหนักในทุกๆ วัน ไม่ว่าจะเป็นการทำงาน หรือ เรียนหนังสือ จนบางครั้งรู้สึกว่าสมองล้าคิดอะไรไม่ค่อยออกและขี้หลงขี้ลืมในบางที ปกติแล้วการทำงานของสมองจะเกี่ยวข้องกับสารสื่อประสาท โดยเฉพาะ "อะซีทิลโคลีน (acetylcholine)" ซึ่งเกี่ยวข้องกับประสิทธิภาพความจำ และก็มีอาหารหลายชนิดที่มีส่วนช่วยให้สมองเราทำงานดีขึ้นในด้านความจำ ...ถึงเวลาหรือยังที่เราจะมาบำรุงสมองด้วยอาหารที่มีประโยชน์ ช่วยให้ความจำดีขึ้นกัน เราจะนำอาหารช่วยบำรุงความจำมาแนะนำกันค่ะ


- พืชผักจำพวกหอมหัวใหญ่ พริก ขิง มีสารสำคัญที่ช่วยเพิ่มเซลล์สมอง และกระตุ้นการหลั่งสารอะซีทิลโคลีน จึงช่วยให้ความจำดีขึ้น
- ใบบัวบก มีสารที่ช่วยกระตุ้นการเรียนรู้ของสมอง ทำให้สมองตอบสนองต่อสิ่งเร้าได้ดี สมาธิดี และความจำดีขึ้น
- เนื้อสัตว์ มีสารทอรีน ที่พบเฉพาะในโปรตีนจากเนื้อสัตว์เท่านั้น ช่วยบำรุงสมอง
- ปลาทะเล มีโอเมก้า 3 ช่วยให้เซลล์ประสาททำงานได้อย่างเป็นปกติ ลดการเกิดพลัค (plaque) ในสมองและป้องกันอัลไซเมอร์ได้
- ธัญพืช มีกรดโฟลิก วิตามินบี 12 และวิตามินบี 6 เช่น ซีเรียลธัญพืช รำข้าว หรือข้าวซ้อมมือ อาหารเหล่านี้จะช่วยในเรื่องความจำได้เป็นอย่างดี
- มะเขือเทศ มีไลโคพีน สารแอนตี้ออกซิแดนท์ที่ช่วยป้องกันเซลล์จากการถูกทำลายของอนุมูลอิสระ ซึ่งพบในอาการของโรควิกลจริตและอัลไซเมอร์
- บร็อกโคลี เป็นแหล่งรวมของวิตามินเค ที่ช่วยในการเพิ่มศักยภาพในการเรียนรู้ และช่วยเพิ่มความสามารถในการจำ
- ถั่ว ผักใบเขียว ไข่ ข้าวซ้อมมือ มีวิตามินอีช่วยในการป้องกันความจำเสื่อม
- เมล็ดฟักทอง มีสังกะสีที่มีความสำคัญในการช่วยเพิ่มความทรงจำ ถ้ารับประทานเมล็ดฟักทองวันละ 1 กำมือ จะทำให้ได้รับสังกะสีเพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย
นอกจากอาหารที่แนะนำมาแล้วนั้น ยังมีผลการศึกษาวิจัยใหม่ๆ จากนักประสาทวิทยา สหรัฐฯ พบว่า สารเคมีในช็อกโกแลต ชา องุ่น และผลบลูเบอรี ช่วยบำรุงความจำได้ โดยช่วยให้เลือดลมในสมองเดินดีขึ้น และหากออกกำลังเพิ่มด้วยแล้วก็จะยิ่งช่วยให้สมองทำงานได้ดียิ่งขึ้น
หาก ต้องการให้สมองของเราดี มีความจำที่เป็นเลิศ ก็อย่าละเลยการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์บำรุงความจำ และถ้าจะให้ผลดีก็ต้องรับประทานเป็นประจำด้วย สมองก็จะดีแบบเสมอต้นเสมอปลายค่ะ

 อ้างอิง  http://women.sanook.com/

วันอาทิตย์ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2553

หนูน้อยมหัศจรรย์ เซซิเลีย คาสสินี่ ดีไซน์เนอร์ อายุน้อย ที่สุดในโลก

       เหล่าดีไซน์เนอร์ตัวแม่ทั้งหลายมีหนาวก็งานนี้ เพราะหนูน้อยมหัศจรรย์คนนี้ แจ้งเกิดแบบเต็มๆ ในฐานะดีไซน์เนอร์ที่อายุน้องที่สุดในโลกก็ว่าได้ หนูน้อยคนนี้มีนามว่า เซซิเลีย คาสสินี่ / Cecilia Cassini  วัย 10 ขวบ ที่เป็นนักเรียนเกรด5 จากแคลิฟอร์เนีย

     หนูน้อยเซซิเลีย เริ่มต้นแววดีไซน์เนอร์ด้วยการที่เธอได้รับจักรเย็บผ้าเป็นของขวัญวันเกิดเมื่อตอนอายุ 6 ขวบ และหลังจากนั้นเธอก็ หัด วาดๆ เขียนๆ ออกแบบชุดเก๋ๆ และลงมือตัดเย็บซะเอง เธอใช้เวลาฝึกฝนอยู่เป็นเวลา 4 ปี จนถึงวันนี้เธอฉายแววได้แบบสุดขั้ว ด้วยผลงานการออกแบบที่มีสไตล์เป็นของเธอเอง

     ปัจจุบัน เซซิเลีย ทำแบรนด์ของตัวเองขายโดยเปิดขายออนไลน์ในเว็บไซต์ของตัวเอง และในอนาคตเธอกำลังจะมีช็อปของตัวเอง ในห้างดังอีกมากมาย ถือเป็นก้าวสำคัญสำหรับวงการแฟชั่นจริงๆ


 ตัวอย่าง ผลงานเสื้อผ้า จี๊ดๆ ที่เธอออกแบบ









วันเสาร์ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2553

นักวิจัยพบวิธีเอาชนะภาวะสูงวัย เปิดช่องพัฒนา "ยาอายุวัฒนะ


เอเจนซี – นักวิจัยไขความลับความอ่อนเยาว์ตลอดกาลสำเร็จ เชื่อนำไปสู่การคิดค้นพัฒนา ‘ยาอายุวัฒนะ’ ที่จะทำให้คนเราดูเป็นหนุ่มสาวยาวนานกว่าปกติ

ชีวิตอาจยืนยาว สุขภาพแข็งแรงขึ้น ห่างไกลจากโรค อาทิ อัลไซเมอร์ และโรคหัวใจ ผิวหนังและเส้นผมเปล่งประกายความอ่อนเยาว์ ยาที่ว่ายังอาจทำให้คนเรามีลูกได้แม้ล่วงเข้าวัยดึกแล้วก็ตาม นอกจากนั้น การขยายเวลาที่ร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ยังช่วยลดค่าใช้จ่ายในการดูแลสุขภาพของ รัฐ และภาระในการดูแลผู้สูงวัยในครอบครัวลงได้อย่างมาก

การศึกษานี้ดำเนินการโดยดร.โรนัลด์ เดปินโฮ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคมะเร็งจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด สหรัฐฯ และตีพิมพ์อยู่ในวารสารเนเจอร์ นี่เป็นครั้งแรกที่ดร.เดปินโฮสามารถทำให้ปรากฏการณ์การสูงวัยในสัตว์ย้อนกลับในการทดลองกับหนู ก่อนการบำบัด ผิว สมอง ระบบย่อยอาหาร และอวัยวะอื่นๆ ของหนูมีลักษณะเหมือนคนอายุ 80 ปี

แต่ภายใน 2 เดือนที่ได้รับยาปรับเปลี่ยนเอนไซม์สำคัญ หนูสร้างเซล์ใหม่เพิ่มขึ้นและเกือบเรียกได้ว่ากลับสู่วัยหนุ่มอย่างสมบูรณ์ ที่สำคัญคือหนูตัวดังกล่าวหายจากการเป็นหมันและมีลูกได้อีกครั้ง

ดร.เดปินโฮระบุว่า ถ้าเป็นมนุษย์ จะเท่ากับคนที่อายุ 40 ปีแต่มีสภาพเหมือนคนอายุ 80 ปี และยาสามารถปรับเปลี่ยนปรากฏการณ์การสูงวัยย้อนกลับสู่ระดับอายุ 50 ปี

ส่วนสำคัญของเรื่องนี้คือโครงสร้างที่เรียกว่า เทโลเมอเรส ซึ่งเป็นนาฬิกาชีวภาพขนาดจิ๋วที่ส่วนปลายสุดของโครโมโซมและทำหน้าที่ปกป้อง โครโมโซม เมื่อเวลาผ่านไป เทโลเมอเรสจะสั้นลงเรื่อยๆ เพิ่มโอกาสในการเป็นโรคตามวัย เช่น อัลไซเมอร์ และโรคหัวใจ

ดร.เดปินโฮประสบความสำเร็จในการทำให้เอนไซม์ดังกล่าวฟื้นคืนชีพในหนูที่ถูก ทำให้แก่ก่อนวัยเพื่อเลียนแบบภาวะสูงวัยในคน โดยตอนแรกนั้นคาดหวังเพียงว่าเทคนิคนี้จะสามารถหยุดยั้งหรือชะลอกระบวนการ สูงวัยได้ ดังนั้น การพบว่าเทคนิคนี้สามารถทำให้กระบวนการสูงวัยย้อนกลับจึงสร้างความประหลาดใจ อย่างยิ่ง

ดร.เดปินโฮยังเชื่อว่า นี่อาจนำไปสู่การพัฒนายาที่ให้ผลกับคนเช่นเดียวกับหนู ซึ่งหากได้รับยาตั้งแต่ช่วงกลางคน อาจช่วยชะลอหรือป้องกันการเกิดโรคอัลไซเมอร์ โรคหัวใจ และเบาหวานได้ รวมถึงอาจทำให้คนเรามีอายุยืนยาวขึ้น

อย่างไรก็ตาม ยังมีคำเตือนในเรื่องนี้ กล่าวคือเทโลเมอเรสที่ยาวขึ้นอาจกระตุ้นการเติบโตของมะเร็ง และดร.เดปินโฮยอมรับว่ายาเพียงขนานเดียวไม่สามารถแก้ปัญหาทั้งหมดของภาวะสูง วัยได้ เนื่องจากยังมีปัจจัยอีกมากมายที่มีอิทธิพลต่อเรื่องนี้ ขณะที่ดร.สตีเวน อาร์แทนดี ผู้เชี่ยวชาญด้านเทโลเมียร์จากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดในสหรัฐฯ ยอมรับว่านี่เป็นการศึกษาที่น่าสนใจ แต่ยาต่อต้านภาวะสูงวัยน่าจะต้องใช้เวลาพัฒนากันอีกเกิน 10 ปี

ที่มา http://www.soccersuck.com/soccer/viewtopic

วันจันทร์ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2553

เทคนิคและคอนเซ็ปต์






ยุค 1980 เป็นช่วงที่วิเวียนได้แหกกฎการตัดเย็บชั้นสูงแบบอังกฤษ ขณะที่การตัดเย็บสไตล์ผู้ดีอังกฤษจะเน้นสัดส่วนที่เท่ากันทั้งสองข้าง แต่สำหรับวิเวียน สูทของเธออาจมีปกข้างหนึ่งใหญ่กว่าอีกข้าง แขนข้างหนึ่งยาวกว่าอีกข้างหรืออาจมีแขนข้างเดียว ชายเสื้อสูทไม่จำเป็นต้องยาวเท่ากัน หรือแขนเสื้อที่มักโค้งมนตรงไหล่ อาจกลายเป็นมีมุมเหลี่ยม แหลมออกมาจนเวลาใส่ต้องพับมุม คอเสื้ออาจกลายเป็นชายกระโปรง ขณะที่ชายเสื้ออาจถูกใส่แทนคอเสื้อ

หลังจากศึกษาประวัติศาสตร์วัฒนธรรมอังกฤษอย่างจริงจัง วิเวียนเริ่มนำภูมิปัญญาแฟชั่นดั้งเดิมมาใช้ เป็นเสมือน "กล้องส่องย้อนอดีตแห่งแฟชั่น" วิเวียนยังสนใจการทำเสื้อผ้าเข้ารูป ด้วยเชื่อว่า "เสื้อผ้าคือการเปลี่ยนรูปทรงของร่างกาย" เธอใช้เทคนิคเพิ่มลดตัดเฉือนเพื่อบิดเบือนข้อเท็จจริงทางสรีระผู้สวมใส่ให้ดูดีแบบอุดมคติ และทำให้สิ่งที่เธอคิดว่า ควรจะเป็นส่วนที่ดึงดูดใจที่สุด คือใบหน้าโดดเด่น
วงการแฟชั่นยังยกย่องวิเวียนเป็น "นักคิดทางแฟชั่น" เธอเป็นดีไซเนอร์คนแรกที่เข้าใจเรื่องแพตเทิร์นในมุมมอง 3 มิติอย่างแท้จริง เช่น การใช้ผ้าสี่เหลี่ยม 2 ผืนวางเหลื่อมเย็บติดกันให้เกิดเหลี่ยมแหลมขึ้น หรือการใช้ผ้าสามเหลี่ยมวางเฉียงเย็บติดกันเพื่อตัดเป็นชุดเข้ารูป หรือกระเป๋าเสื้อที่โค้งรอบตัวเสื้อจนเกิดมูฟเมนต์ทุกครั้งที่ผู้สวมใส่เคลื่อนไหว

อ้างอิง

วันอาทิตย์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ทัศนคติ

 ยุคแรก วิเวียนแสดงออกถึงการต่อต้านสังคมระบบชนชั้นผู้ดี ผ่านงานดีไซน์ในหลากวิธี เช่น วัสดุนอกกรอบทั้งกระดูกไก่ ยางรถยนต์ หมุด โซ่ ภาพจากนิตยสารเก่า ฯลฯ ถูกนำมาสร้างเป็นเสื้อยืดดิบๆ ในสังเวียนแฟชั่นยุคแรกคือ วิเวียนไม่ได้ขายแค่เสื้อผ้าสไตล์พังก์ร็อก แต่สิ่งที่เธอพยายามเสนอขายแก่สังคมคือ ทัศนคติ (attitude) ที่ว่า "กล้าที่จะยืนนอกกรอบ แล้วบอกว่านี่คือสิ่งที่ฉันต้องการ"
วิเวียนยังใช้งานดีไซน์เป็นเครื่องมือสื่อสารทางเพศอย่างเข้มข้น ไม่ว่าจะเป็นการพิมพ์ลายหน้าอกผู้หญิงและรูปคาวบอยเปลือยบนเสื้อยืด หรือกระดุมรูปศิวลึงค์ รวมทั้งการเฉือนเสื้อผ้าให้ขาดวิ่นเห็นเนื้อหนังบริเวณหน้าอก และการนำชุดชั้นในมาใส่ด้านนอก ฯลฯ "งานของฉันคือการประจันหน้ากับสถาบันทางสังคม พยายามค้นหาว่าอิสรภาพของฉันเองอยู่ที่ไหน และทำอย่างไรเพื่อให้ได้มันมา" วิเวียนใช้เสื้อยืดลามกเป็นสื่อ เพื่อค้นหาจุดยืนและอิสรภาพที่คนชนชั้นกรรมาชีพเช่นเธอโหยหา

เสื้อผ้าของวิเวียนหลายชิ้นมักถูกวิจารณ์ว่า "ใส่จริงไม่ได้" ทั้งความแปลกของวัสดุ ลวดลาย สัดส่วนโครงสร้าง และแพตเทิร์นการตัดเย็บ แต่เธอมีมุมมองว่า "เสื้อผ้าของฉันอาจดูนอกลู่นอกทาง เพียงเพราะผู้คนไม่ได้คาดคิด แต่สิ่งที่ฉันทำก็เพื่อประณามความจืดชืดและความน่าเบื่อของแฟชั่นธรรมดาเหล่านั้น"