วันจันทร์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2554

10 อันดับ วิธีดูแลสมอง

10 อันดับ วิธีดูแลสมอง
 อันดับที่ 10


  เสริมวิตามิน กินไขมันดี
กินไขมันดี หรือที่เราเรียก โอเมก้า 3 เพื่อเข้าไปทดแทนส่วนของสมองที่เป็นในไขมันที่สึกหรอไป นอกจากนี้ยังมีวิตามินบำรุงสมองอื่น ๆ อีก เช่น สารสกัดจากใบแปะก๊วย วิตามินบี1 บี6 บี12 น้ำมันพริมโรสที่ช่วยให้เซลล์ชุ่มน้ำและวิตามินซีที่ทำให้กระปรี้กระเปร่า 




อันดับที่ 9


  นั่งสมาธิ จิตมีพลัง
การ นั่งสมาธิ จะส่งผลให้สมองเข้าสู่ช่วงที่เป็นคลื่น Theta (ธีค้า หรือการที่สมองได้เข้าสู่การเข้าสมาธิแบบลึก) ทำให้สมองได้ผ่อนคลายสุด ๆ และเกิด Mental Imagery (ภาพจินตนาการที่สมองสร้างขึ้น) ส่งผลให้สมองเกิดความคิดสร้างสรรค์ และจินตนาการที่ดีออกมา ทำให้สามารถแก้ปัญหาในเรื่องต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นได้อย่างสร้างสรรค์ 




อันดับที่ 8


  เข้านอนก่อนหัวค่ำ
ภายในร่างกายคนเรามีนาฬิกาชีวภาพอยู่ ดังนั้นหากเราเข้านอนในช่วงเวลาที่ร่างกายหลั่งสารเมลาโทนิน ก็จะทำให้ร่ายกายและสมองได้รับการพักผ่อนอย่างเต็มที่ 




อันดับที่ 7


  หายใจช่วยพัฒนาสมอง
การ หายใจอย่างถูกวิธี มีส่วนช่วยพัฒนาสมองให้ได้ผลดีมากทีเดียว เพราะสมองของเรานั้นใช้ออกซิเจนมากถึง 20-25% ของทั้งหมดที่เข้าสู่ร่างกาย ดังนั้นหากเรารู้จักหายใจ เข้า-ออก ช้า ๆ ลึก ๆ เพียงแค่วันละ 15 นาที ก็จะทำให้สมองได้รับพลังงานอย่างเต็มเปี่ยม 




อันดับที่ 6


  ยิ้มไว้โลกจะแตกก็ยิ้มไว้
เวลาที่เราทำอะไรก็ตาม หากเรายิ้มคนรอบข้างก็จะได้รับทราบถึงความรู้สึกดีๆ ของเรา แต่ควรจะยิ้มจากภายใน ไม่ต้องฝืน เพราะแววตาของรอยยิ้มนั้นหลอกกันไม่ได้ หากคุณรู้จักที่จะยิ้ม ก็จะทำให้สมองมีแต่เรื่องดี ๆ มีความสุข การยิ้มอย่างเป็นประจำและต่อเนื่องมีโอกาสที่ร่างกายจะหลั่งเอ็นโดรฟินออกมา ซึ่งสารนี้จะไปออกฤทธิ์ให้ม่านตาขยายและทำให้ตาเป็นประกาย 




อันดับที่ 5



  เขียนหนังสือด้วยมือที่ไม่ถนัด
การ เขียนถือเป็นการพัฒนาสมองได้เหมือนกัน เพราะสมองซีกซ้ายของเรานั้นเป็นส่วนบังคับการเขียน หากใครที่ถนัดมือไหนอยู่ ก็ให้หัดลองใช้มืออีกข้างเขียนหนังสือ หรือวาดภาพ เพื่อให้สมองได้เรียนรู้อะไรใหม่ ๆ เพิ่มเติม และยังมีส่วนช่วยให้ความคิดสร้างสรรค์เพิ่มขึ้นด้วย 




อันดับที่ 4


  เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ
การพัฒนาสมองให้ได้ผลดีอีกอย่างหนึ่งก็คือ พยายามเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา จะได้พัฒนาสมอง เช่น เทคโนโลยีใหม่ ๆ เรื่องราวการแพทย์ใหม่ ๆ หรือแม้กระทั่งเมนูอาหารอร่อย ๆ ที่คุณไม่เคยลอง ก็ถือว่าเป็นการทำให้สมองได้พัฒนาเช่นกัน การเล่นเกมส์ปริศนาอักษรไขว้ หรือสแครบเบิล ก็สามารถที่จะทำให้ความจำดีขึ้นได้ถึง 40% (จากผลการทดลองของอาสาสมัครในรายการบีบีซี ที่ออกอากาศเมื่อวันที่ 1 กันยายน 2549) 




อันดับที่ 3


  พักผ่อนหันหาอากาศบริสุทธิ์

การพักผ่อนหย่อนใจหลังจากทำงานหนัก ถือเป็นเรื่องสำคัญมาก ๆ เพราะสมองจะได้พักผ่อนจากเรื่องสำคัญมาก ๆ และเรื่องราวความเครียดต่าง ๆ ที่ต้องเจออยู่เป็นประจำ ในหนึ่งปี อาจจะมี 2-3 วัน ที่คุณควรเลือก ที่จะเดินทางไปต่างจังหวัด เพื่อหาที่พักตากอากาศแบบสบาย ๆ เงียบสงบ ให้สมองได้พักผ่อน รวมทั้งหาอากาศที่ปราศจากมลพิษ เพื่อเติมพลังให้สมอง 




อันดับที่ 2


  คิดเพื่อสมองดี
ลอง สังเกตว่าวันไหนที่เราตื่นขึ้นตอนเช้า แล้วรู้สึกว่าอารมณ์ดี วันนั้นเราจะรู้สึกดีไปตลอดวัน แต่ถ้าวันไหนเรารู้สึกเบื่อ ๆ หรือเจอเรื่องแย่ ๆ แต่เช้า ความรู้สึกนี้ก็จะคิดตัวไปตลอดทั้งวัน ทำอะไรก็จะติดขัดไปหมด ดังนั้นหากอยากให้มีแต่เรื่องดี ๆ เกิดขึ้น และทำให้สมองรู้สึกปลอดโปร่งคิดอะไรออก ก็ต้องคิดถึงแต่เรื่องดี ๆ ส่วนเรื่องร้าย ๆ ก็ลืมมันซะ 




อันดับที่ 1


  กินเพื่อสมองดี
หลายคนคงจะเคยได้ยินคำว่า "กินอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น" ทั้ง ๆ ที่รู้ แค่คนส่วนใหญ่ก็มักจะละเลยอาหารเช้า เพราะความเร่งรีบที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน การกินอาหารเข้านั้นจะทำให้ร่างกายเผาผลาญพลังงานมากขึ้น อีกทั้งยังช่วยในเรื่องภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ เนื่องจากอดอาหารมาตลอดคืน หากใครที่กินอาหารเช้าเป็นประจำก็จะทำให้ความจำดีขึ้น อย่างไรก็ตามควรเลือกกินอาหารที่ดี และงดอาหารขยะอย่างเด็ดขาด 


อ้างอิง : http://www.toptenthailand.com/

วันอาทิตย์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2554

10 อันดับอาการทางจิตแปลกๆ

10 อันดับอาการทางจิตแปลกๆ
อันดับที่ 10


  Synaesthesia
ซินเนสทีเซีย หรือ synaesthesia มาจากภาษากรีก คือ Syn (ร่วม) และ Aisthesis (การรับรู้) หมายความว่า ประสาทสัมผัสตั้งแต่ 2 อย่างขึ้นไป รับรู้ พร้อมกันนั่นเอง และมันแปลกตรงไหนล่ะ? ก็ตอบว่าแปลกๆ มาก เพราะว่าบุคคลที่มีอาการแบบนี้ จะมีอาการแตกต่างจากคนทั่วไปคือ เช่น บางคนมองตัวเลข (หรือตัวหนังสือ) จะเห็นเป็นสี เช่นเห็นเอเป็นสีชมพู และจะเห็นเอสีชมพูนี้ไปตลอดชั่วชีวิต(แต่สีของตัวเลขขึ้นอยู่กับคนละคน บางคนอาจเห็นเอเป็นสีฟ้าก็ได้) บางคนฟังเสียงดนตรี จะรู้สึกเหมือนมีอะไรมา สัมผัส ผิวหนัง ส่วนอีกคน ลิ้นชิมรส กลับเห็นรูปร่างตามมาด้วย และอีกคนสัมผัสรสชาติได้จากตัวอักษร ตัวหนังสือ(เช่นเอมีรสเค็ม) แต่อาการที่พบปล่อยที่สุดคือการเห็นตัวเลขเป็นสีมากมาก โดยสาเหตุคาดว่าจะเกิดจากพันธุกรรม ที่โครงสร้างสมองผิดปกติเชื่อมต่อของเซลล์ประสาทในสมองที่มีมาก เกินพอดี ส่งผลให้การรับรู้ ของประสาทสัมผัสต่าง ๆ ปะปนกัน เช่น การได้ยินเสียงกับการมองเห็น ฟังเพลงแล้วบอกว่าเห็นสี เป็นต้น 




อันดับที่ 9


  Oniomania
โรคบ้าชอปปิ้ง เป็นอาการทางจิต ที่ชอปแบบไม่บันยะบันยัง ซื้อของที่ตนไม่ต้องการ บางครั้งเหมือนขาดสติ มักจะไม่รู้ตัวและปฏิเสธ และแสดงอาการเหมือนคนเสพยาถ้าไม่ได้ไปห้างจะมีอาการทุรนทุราย เครียด ซึ่งส่วนสาเหตุของโรคนี้ก็คือเป็นกลไกธรรมชาติของมนุษย์ที่ป้องกันโรคซึม เศร้า ซึ่งมนุษย์มีกลไกตอบสนองของการซึมเศร้า โดยการโหยหาของใหม่ ๆ และแตกต่างจากเดิม โดยตอบสนองจากการได้เห็นของใหม่ ๆ ในห้าง หรือเมื่อเวลามีโฆษณาของใหม่ ๆ ทางทีวี และเพื่อมาบรรเทาอาการซึมเศร้านั้น ๆ เลยซื้อแหลกแต่เมื่อเอาของกลับมาบ้าน ก็จะมีความรู้สึกผิด เมื่อได้ซื้อมาแล้วเกิดเสียดาย กระตุ้นความซึมเศร้า และวนไปวนมาเป็นวัฐจักร ส่วนวิธีการป้องกันโรคที่จะตามมาอีกคือ พยายามออกให้ไกลจากแหล่งชอปปิ้ง ไม่ควรพกเงิน ไม่พกบัตรเครดิต พยายามเลี่ยงดูการโฆษณาที่ยั่วยวน หรือโฆษณาที่ และหาอะไรอย่างอื่นทำ เช่น ออกกำลังกาย เที่ยวป่า 




อันดับที่ 8


  Trichotillomania
การถอนผมตัวเอง เป็นภาวะผิดปกติทางจิต และเป็นนิสัยหรือพฤติกรรมที่ย้ำคิดย้ำทำ โดยการถอนผมหนังศีรษะหรือขนตามตัว(ขนตา, ขนจมูก, ขนหน้าอก, ขนเพชร, คิ้ว) เล่นโดยที่ไม่รู้ตัว ส่วนมากมักถอนขนในขณะทำกิจกรรมบางอย่างที่เพลินๆ เช่น ขณะนั่งอ่านหนังสือ หรือโทรทัศน์ ถอนจนผมร่วงจนเกือบหมดหัว หรือหายเป็นหย่อมๆ จนมีลักษณะผมที่แหว่งไป โดยพบได้ในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย อายุที่พบโดยเฉลี่ยประมาณ 9-13 ปี โดยสาเหตุเกิดจากสภาวะซึมเศร้าหรือความเครียดสะสม แล้วเมื่อได้ถอนผมหรือขนแล้วจะหายเครียด จนเกิดเป็นความเคยชิน โดยโรคนี้ถือว่าเป็นปัญหาทางจิต ถ้าต้องการให้หายขาด ต้องปรึกษาจิตแพทย์โดยด่วน 




อันดับที่ 7


  Piblokto
เป็นปรากฏการณ์ที่พบในชาวเอสกิโมชาวที่อยู่ในแถบขั้วโลกที่มีอาการหนาวเท่า นั้น โดยมักพบในหญิงชาวเอสกิโม มีอาการซึมเศร้า ตัวสั่น วิตกกังวล ร้องไห้ แผดร้องเหมือนสัตว์ป่า แล้วออกวิ่งไปในหิมะโดยไม่รู้สึกว่าหนาว แล้ว กระโดดลงน้ำที่เย็นตัด และมักทำร้ายตัวเอง หรือทำร้ายผู้อื่น สับสน จำอะไรไม่ได้ สาเหตุที่มาอาจมาจากวิตามินเอเป็นพิษ โดนอาหารพื้นเมืองของเอสกิโมนั้นมีแหล่งอุดมของวิตามินที่ทำให้เกิดพิษ เนื่องจากส่วนมากมักเป็นเนื้อมากกว่าผัก เช่นเนื้อแมวน้ำ, ตับปลาขั้วโลก เลี้ยงลูกด้วยนมที่วิตามินสะสมเก็บเอาไว้ในร่างกายจนกลายเป็นพิษ 




อันดับที่ 6


  Hybristophilia
เป็นอาการทางจิตที่เกี่ยวข้องกับการกระตุ้นทางเพศของอีกฝ่ายหลังรักฆาตกรหรือ อาชญากรโรคจิตครับ รักคลั่งอยากจะแต่งงานกันเลย โดยปรากฏการณ์นี้เรียกอย่างหนึ่งว่า Bonnie Clyde Syndrome ชื่อนี้มาจากบอนนี ปาร์คเกอร์ & ไคลด์ แบร์โรว์ ซึ่งบอนนีที่เป็นหญิงสาวธรรมดาหลงรักไคลด์ที่เป็นโจรมากๆ บอมทิ้งครอบครัวเพื่ออยู่กับไครด์เลยทีเดียว ซึ่งสภาวะแบบนี้หายาก แต่ใช่ว่าจะไม่เลยทีเดียว ยกตัวอย่างเช่นมีคนธรรมดาคนหนึ่งเห็นการจับกุมฆาตกรฆ่าเด็กในทีวี คนธรรมดาคนนั้นเกิดอาการมีอารมณ์ทางเพศอยากมีความรักมากๆ เลยเขียนจดหมายส่งในคุกพรรณนาว่าจะแต่งงานกับฆาตกรคนนั้น ก่อนลงท้ายว่า ออกจากคุกเมื่อไหร่แต่งงานกัน ตัวอย่างที่มีที่เห็นก็เช่น กรณี นาง Carol Anne Boone ที่มีความประสงค์ที่จะแต่งงานกับเท็ดบัดดี ฆาตกรต่อเนื่องฆ่าเฉพาะผู้หญิงมากกว่า 35 ราย (1946 –1989) 




อันดับที่ 5


  Depersonalization
บุคลิกวิปลาส หรือ “คนสองบุคลิกภาพ” เป็นอาการทางประสาทประเภทหนึ่ง เป็นภาวะที่เกิดตัวตนและบุคลิกภาพขึ้นในจิตใจของบุคคล ทั้ง ๆ ที่บุคคลนั้นมีตัวตนและบุคลิกภาพของตัวเองอยู่แล้ว โดยสิ่งที่เกิดขึ้นใหม่นั้นเป็นกระบวนการรู้จำซึ่งทำหน้าที่เป็นอิสระและ แปลกแยกจากสิ่งที่มีอยู่แล้ว บุคคลผู้นั้นจึงประหนึ่งนั่งมองการกระทำของตน แต่ไม่สามารถควบคุมการกระทำนั้นได้ รู้สึกว่าไม่ใช่การกระทำของตนแน่นอน แต่เป็นของใครก็ไม่รู้ พูดไม่ออกบอกไม่ถูก และจำไม่ได้ เป็นต้น สาเหตุอาจมาจากหลายๆ อย่างผสมกัน เช่น ความเครียด โรคย้ำคิดย้ำทำ วิตกกังวล ยาเสพย์ติดประเภทประสาทหลอน และ สภาวะนี้สามารถรักษาหาย อาจเป็นชั่วคราว หรือเรื้อรังไปจนตาย 




อันดับที่ 4


  Nymphomania
นิมโฟมาเนียหรือโรคขาดผู้ชายไม่ได้(ดูเหมือนโรคนี้ประเทศไทยจะเป็นกันเยอะ) เป็นโรคที่เกิดขึ้นกับผู้หญิงที่กระตุ้นให้พวกเธอมีความความต้องการทางเพศ สูงจนผิดปกติไม่สามารถควบคุมได้ จนเรียกได้ว่าคลั่งไคล้หรือบ้าคลั่ง แม้ว่าจะได้รับการตอบสนองทางเพศหลายครั้งแล้วก็ต้องการทางเพศอีก และผู้หญิงที่เป็นมักเปลี่ยนคู่นอนบ่อยจนเรียกได้ว่าสำส่อนทางเพศ รวมไปจนถึงการสำเร็จความใคร่ด้วยตนเองหลายครั้งต่อวันด้วย แต่สิ่งที่หลายคนชอบที่สุดคือคู่นอนของพวกเธอจะเป็นใครก็ได้หล่อไม่หล่อไม่ เกี่ยง ส่วนสาเหตุมาจากความผิดปกติของสมองหรือไม่ก็สารเสพติดมากเกินไป โดยสุดท้ายความต้องการทางเพศสูงนี้จะทำให้ชีวิตสมรสเสื่อมลง ครอบครัวแตกแยกในที่สุด(หากโรคนี้เกิดขึ้นกับผู้ชายจะเรียกว่า สไตเรียซิส) 




อันดับที่ 3


  Jumping Frenchman of Maine Disorder
โรคจัมพิ่ง เฟรนช์แมน ออฟ เมน เป็นโรคที่นายแพทย์จอร์จ มิลเลอร์ เบียร์ด ได้นิยามเป็นครั้งแรกเมื่อ ค.ศ.1878 เป็นโรคที่หายากที่ไม่สามารถระบุได้ว่าเกิดจากความผิดปกติที่ระบบประสาทหรือ ทางจิตใจ โดยผู้ป่วยที่เขาพบนั้นเป็นชายชาวแคนาดาเชื้อสายฝรั่งเศสใน มูสเฮด ในพื้นที่ของเมน ผู้ป่วยจะเกิดอาการตอบสนองทันทีเมื่อถูกกระตุ้นจนไม่สามารถควบคุมได้ ยกตัวอย่างเช่น หาก ตะโกนเสียงดังๆ ให้ผู้ป่วยทำอย่างใดอย่างหนึ่งผู้ป่วยก็จะทำตามนั้น เช่น ให้โยนวัตถุหนึ่งในมือของเขา เขาจะโยนโดยไม่ลังเล นอกจากนี้บ่อยครั้ง ที่ผู้ป่วยมักพูดประโยคแปลกๆ ประโยคที่เป็นภาษาต่างประเทศ ก็จะพูดประโยคนั้นๆ ซ้ำไปซ้ำมาอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้ 




อันดับที่ 2



  Coprolalia
เป็นอาการทางจิตเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวหรือการแสดงท่าทางหรือเปร่งเสียง บางอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วทันทีโดยไม่สามารถคาดการณ์ได้ในระยะสั้นๆ ของคนเสพติดได้กระทำเรื่องลามก อนาจารจนควบคุมตัวเองไม่ได้ เช่นไม่ได้ตั้งใจหรือพูดคำหยาบคายลามกเสื่อมเสียแก่วงหรือคู่สนทนาแต่อย่าง ใด(อย่าสับสนกับ Tourette Syndorome) ผู้เป็นอาการนี้ไม่รู้เหมือนกันว่าตนจะพูดเรื่องนี้เพื่ออะไร จนทำให้ผู้เป็นอาการรู้สึกอับอายและขัดขวางกิจกรรมทางสังคมกับคนอื่น นอกจากนั้นยังชอบโทรศัพท์ขอร่วมเพศ หรือพูดคำอนาจารในที่สาธารณะ และพบในชายมากกว่าหญิง 




อันดับที่ 1



  The Windigo Psychosi
วินดีโก มีที่มาจากชื่อ เป็นสัตว์ประหลาดในตำนานในคติชนของชนพื้นเมืองอเมริกันและแคนาดา ในตำนานบอกไว้ว่ามันสามารถเปลี่ยนรูปร่างได้ สิงร่างได้ ชอบทำร้ายมนุษย์และกินเนื้อคน และชื่อของมันถูกนำไปตั้งกับอาการทางจิตนาม The Windigo Psychosis เป็นโรคจิตชนิดหนึ่งจัดในประเภท Depressive reaction ซึ่งเกิดขึ้นเพราะวัฒนธรรมนั้นๆ โดยโรคนี้เกิดขึ้นกับอินเดียนแดงเผ่าแอลโกเลียน ในประเทศแคนาดา ซึ่งเกิดขึ้นกับชนหมู่มาก และอาการทางจิตชนิดนี้คือ “มีความรู้สึกอยากกินเนื้อมนุษย์” เพราะพวกเขาเชื่อว่าตนเองมีวิญญาณวินดีโก มาเข้าฝันและสิงสู่ ทำให้พวกเขาเกิดอาการซึมเศร้าและหลงผิดว่าตนเป็นสัตว์ร้ายและอยากกินเนื้อคน ขึ้นมา....


อ้างอิง : http://www.toptenthailand.com/

วันเสาร์ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2554

10 อันดับวิธี นอนหลับสบาย ไร้กังวล

10 อันดับวิธี นอนหลับสบาย ไร้กังวล

อันดับที่ 10


  ชา กาแฟ
หลีกเลี่ยงการดื่มชา กาแฟ และช็อกโกแลตระหว่างวัน เพราะกาเฟอีนที่ผสมอยู่จะทำให้ร่างกายตื่นตัว 




อันดับที่ 9


  กิจวัตร
สร้างกิจวัตรใหม่ด้วยการเข้านอนและตื่นให้เป็นเวลาเดียวกันทุกวัน ลองทำแค่ 1 อาทิตย์ ติดต่อกัน ร่างกายก็คุ้นเคยแล้ว 




อันดับที่ 8


  ดื่ม
ดื่มหรือรับประทานอาหารที่มีองค์ประกอบของกรด อะมิโน Tryptophan จากโปรตีน อย่างธัญพืช หรือเครื่องดื่ม Whole Grains ก่อนนอน จะช่วยกระตุ้นให้ร่างกายปล่อยสาร Niacin จากวิตามินบี 5 ทำให้สมองและร่างกายผ่อนคลาย และง่วงนอนง่ายขึ้น 




อันดับที่ 7


  ความมืดมิดและไร้เสียง
ความมืดมิดและไร้เสียง คือเคล็ดลับที่จะทำให้หลับได้สนิทและยาวนาน 




อันดับที่ 6


  ฟอกอากาศ
เสริมเครื่องฟอกอากาศในห้องนอนเพื่อเพิ่มปริมาณออกซิเจนที่สมดุล 




อันดับที่ 5


  ปรับอุณหภูมิห้อง
ปรับอุณหภูมิห้องให้เย็นระหว่าง 17-25 องศาเซลเซียส แล้วจะหลับง่าย 




อันดับที่ 4


  ออกกำลังกาย
ถ้าคุณนอนหลับยาก ควรออกกำลังกายในช่วงเย็น หรือ 4-6 ชั่วโมงก่อนนอน แต่อย่าทำใกล้เวลานอน 




อันดับที่ 3

  งด
กับตัวเองว่าการเครียดกังวล และใช้สมองในช่วงที่ต้องนอนหลับนั้นเปล่าประโยชน์ นอนหลับให้สนิทแล้วตื่นมาคิดอย่างแจ่มใส ย่อมให้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพดีกว่า 




อันดับที่ 2

  วางแผน
สะสาง วางแผนสิ่งที่กังวล ที่จะทำในวันต่อไปให้เรียบร้อย เพื่อลดอาการวิตกจริต และคิดซ้ำซาก 




อันดับที่ 1

  นอนแต่หัวค่ำ
เข้านอนก่อน 4 ทุ่ม และตื่น 6 โมงเช้า เพราะนี่คือช่วงที่เหมาะสมที่สุดในการพักผ่อนร่างกาย 

 อ้างอิง:  http://www.toptenthailand.com/display.php?id=1252

วันพุธที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2554

10 อันดับข้อเท็จจริง กับ 10 เมนูอาหาร ที่คุณก็เคยทาน

10 อันดับข้อเท็จจริง กับ 10 เมนูอาหาร ที่คุณก็เคยทาน

อันดับที่ 10


  โปเตโต้ชิพ อาหารขบเคี้ยว
การทอดโปเตโต้ชิพจะทอดกันที่อุณหภูมิสูงทำให้มีสารเคมีอะคริลิไมด์ (Acrylimides) ออกมา ซึ่งรู้จักกันดีว่า เป็นสารก่อโรคมะเร็งและทำลายประสาท กินมันฝรั่งทอดเพียงวันละ 1 ถุง เท่ากับซดน้ำมันพืชปีละ 5 ลิตรเชียวนะ 




อันดับที่ 9


  โดนัท
โดยเฉลี่ยแล้ว จะให้พลังงานประมาณ 300 แคลอรี่ ในโดนัทหนึ่งชิ้นมีแป้งคาร์โบไฮเดรตอยู่มากกว่า 50% ของที่แนะนำให้บริโภคต่อครั้งต่อวัน มีเกลือโซเดียมอยู่สูงมาก ทำให้ร่างกายขาดน้ำได้ 




อันดับที่ 8


  ไอศครีม
มีไขมันอยู่สูงมาก (ขนาดปกติ 4 ออนซ์) มีไขมันเกินกว่า 50% ของไขมันที่แนะนำให้บริโภคต่อครั้งต่อวันมีคาร์โบไฮเดรตอยู่มาก เกือบ 40% ของคาร์โบไฮเดรตที่แนะนำให้บริโภคต่อครั้งต่อวันมีน้ำตาลอยู่มาก ทำให้มีความกระหายน้ำตาลมากยิ่งขึ้น เป็นสาเหตุทำให้ผิวหนังเ่ยวย่น 




อันดับที่ 7


  ชิ้นไก่เนี้อนุ่มไม่มีกระดูก
ทำมาจากชิ้นส่วนของไก่ที่ไม่ใช้แล้ว น้อยมากที่จะทำมาจากเนื้อขาวจริงๆการรับประทานต่อครั้งโดยทั่วไป จะให้พลังงาน 340 แคลอรี่ 50% เป็นไขมันมีแป้งขนมปังผสมอยู่มาก จึงมีคาร์โบไฮเดรตอยู่สูง มีการเติมสารปรุงรส (MSG=Monosodium Glutamate) ทำให้ปวดศีรษะ 




อันดับที่ 6


  น้ำอัดลม
สารตัวสำคัญที่มีอยู่ในโค้กก็คือกรดกำมะถัน (Phosphoric acid) ในด้านความเป็นกรดด่าง มันมีความเป็นกรดอยู่สูงมากพอที่จะละลายตะปูได้ภายใน 4 วันกรดที่สะสมอยู่ในร่างกาย ทำให้ยากที่จะทำให้น้ำหนักตัวลดลงได้ 




อันดับที่ 5


  พิซซ่า
พิซซ่าในเชิงทางการค้าจะประกอบไปด้วยอาหารที่มาจากการตัดแต่งทางพันธุกรรม 5 ชนิด + เนยแท้ (cheese) เพียง 10% เท่านั้น + แป้งที่ผ่านการปรุงแต่งให้ขาวที่ได้ทำการฟอกสี ทำให้วิตามินและเกลือแร่ออกไปแล้ว แต่ได้ทำการเติมเกลือแร่สังเคราะห์ตามจำนวนโมเลกุลที่มันเคยมีอยู่เข้าไป ใหม่ + ซอสมะเขือเทศ ทำด้วยสารที่คล้ายมะเขือเทศที่สร้างยาฆ่าแมลงของมันขึ้นมาได้เอง ในร่างกายของท่าน + แป้งสาลีที่นำมาใช้เป็นแป้งชนิดที่มีการตัดแต่งทางพันธุ์กรรม + มีน้ำมันฝ้ายประกอบอยู่ด้วย ฝ้ายไม่ได้จัดเป็นพืชพวกอาหาร มันผ่านการสเปรย์ด้วยยาฆ่าแมลงที่ชาวไร่ใช้ 




อันดับที่ 4


  คุกกี้
ที่เด่นชัดมากก็คือ ส่วนของน้ำตาลมีอยู่สูงถึง 23 กรัมเลยทีเดียว ช็อกโกเล็ตนั้นเป็นสารอาหารรายการสุดท้าย นั่นหมายความว่า มีช็อคโกเล็ตประกอบอยู่น้อยมาก น้ำตาลปริมาณสูง ทำให้ผิวหนังเ่่ยวย่นและเกิดริ้วรอยได้เร็วยิ่งขึ้น 




อันดับที่ 3


  เฟรนช์ฟราย
เป็นอาหารที่มี “ความเป็นพิษสูง”การทอดเฟร้นช์ฟราย จะทอดกันที่อุณหภูมิสูง ทำให้มีสารเคมีอะคริลิไมด์(Acrylimides) ออกมา ซึ่งรู้จักกันดีว่า เป็นสารก่อโรคมะเร็งและทำลายประสาท 




อันดับที่ 2


  ฮอทด็อก
ฮอทด็อกทำมาจากเนื้อส่วนที่เหลือที่แย่ที่สุดจากโรงฆ่าสัตว์ เนื้อส่วนใดที่ขายเป็นส่วนของมันไม่ได้แล้วจะกองอยู่ที่พื้น และนำมาบดทำเป็นเบอร์เกอร์ รวมทั้งกีบ กระดูก จมูก สันจมูก หู เล็บและส่วนอื่นๆของมัน เพราะว่าฮอทด็อกทั้งหมดทำมาจากสัตว์ จึงสามารถขึ้นป้ายว่า เนื้อวัวแท้ (Pure beef) หรือ ทำจากไก่งวงแท้ 100% 




อันดับที่ 1


  แฮมเบอเกอร์
แฮมเบอร์เกอร์ทำมาจากเนื้อส่วนที่เหลือที่แย่ที่สุดจากโรงฆ่าสัตว์ เนื้อส่วนใดที่ขายเป็นส่วนของมันไม่ได้แล้วจะกองอยู่ที่พื้น และนำมาบดทำเป็นเบอร์เกอร์ รวมทั้งกีบ กระดูก จมูก หูและส่วนอื่นๆของมัน เพราะว่าเบอร์เกอร์ทั้งหมดทำมาจากสัตว์ จึงสามารถขึ้นป้ายว่า เนื้อวัวแท้ (Pure beef)แฮมเบอร์เกอร์ทั้งหมดจะใส่สารปรุงรส (MSG=Monosodium Glutamate) ทำให้ปวดศีรษะและเกิดอาการแพ้ MSG เป็นสารเคมีที่ห้องปฏิบัติการทดลองใช้ช่วยทำให้สัตว์อ้วนขึ้น และท้ายที่สุดก็ทำให้ท่านอ้วนขึ้นด้วย อุตสาหกรรมปศุสัตว์ เป็นผู้ใช้ยาปฏิชีวนะมากที่สุดในโลก เพื่อใช้ในการหักล้างแบคทีเรียที่เป็นอันตรายในเนื้อ 

 อ้างอิง : http://www.toptenthailand.com/

วันอังคารที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2554

10 อันดับนิสัยทำร้ายสมองที่ไม่ควรมองข้าม

10 อันดับนิสัยทำร้ายสมองที่ไม่ควรมองข้าม

อันดับที่ 10


  ใช้สมองในขณะที่ไม่สบาย
การทำงานหรือเรียนขณะที่กำลังป่วย จะทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของสมองลดลงเหมือนกับการทำร้ายสมองไปในตัว สมองนับเป็นอวัยวะส่วนที่สำคัญของเรา อย่าลืมใส่ใจและรักษาสุขภาพสมองของตัวเองให้ดี 




อันดับที่ 9


  นอนคลุมโปง
เป็นเรื่องเล็กน้อยในความคิดของใครหลายคน แต่ที่จริงแล้วการนอนคลุมโปงเป็นการเพิ่มคาร์บอนไดออกไซด์ให้มากขึ้นและลดออกซิเจนให้น้อยลงส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของสมอง 




อันดับที่ 8


  เป็นคนไม่ค่อยพูด
ทักษะทางการพูดจะเป็นตัวแสดงถึงประสิทธิภาพของสมอง ถ้าไม่ค่อยพูดจากับคนอื่นสมองก็จะไม่ได้แสดงประสิทธิภาพเท่าที่ควร 




อันดับที่ 7


  ขาดการใช้ความคิด
การคิดเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในการฝึกสมอง การขาดการใช้ความคิดเป็นเวลานานเป็นต้นเหตุของอาการสมองฝ่อ 




อันดับที่ 6


  มลภาวะ
สมองเป็นส่วนที่ใช้พลังงานมากที่สุดในร่างกาย การสูดเอาอากาศที่เป็นมลภาวะเข้าไปจะทำให้ออกซิเจนในสมองมีน้อยส่งผลให้ประสิทธิภาพของสมองลดลงเรื่อยๆ 




อันดับที่ 5


  การอดนอน
คนที่อดนอนเป็นเวลานานจะทำให้เซลล์สมองตายได้ ส่วนการนอนหลับจะทำให้สมองได้พักผ่อน 




อันดับที่ 4


  ทานของหวานมากเกินไป
มีผลมากต่อการทำร้ายสมอง เพราะการทานหวานมากเกินไปจะขัดขวางการดูดกลืนโปรตีนและสารอาหารที่เป็นประโยชน์ เป็นสาเหตุของการขาดสารอาหารและขัดขวางการพัฒนาสมอง 




อันดับที่ 3

  การสูบบุหรี่
เป็นสาเหตุของโรคสมองฝ่อและเป็นสาเหตุของโรคอัลไซเมอร์ 




อันดับที่ 2


  กินอาหารมากเกินไป
การกินในจำนวนที่เยอะเกินพอดี เป็นต้นเหตุทำให้หลอดเลือดแดงในสมองแข็งตัว เป็นสาเหตุให้เกิดโรคความจำสั้น 




อันดับที่ 1

  ไม่ทานอาหารเช้า
หลายคนคิดว่าไม่ทานอาหารเช้า แล้วจะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ แต่ที่จริงแล้วการไม่ทานอาหารเช้าเป็นสาเหตุให้สารอาหารไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ และทำให้สมองเสื่อมได้ 


อ้างอิง : http://www.toptenthailand.com/